‘Magic Mahomes’ แพทริก มาโฮมส์ พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นอีกครั้งว่าเขาคือสุดยอดควอเตอร์แบ็กแห่งยุคสมัยใหม่ตัวจริง หลังจากที่มีส่วนสำคัญในการช่วยพลิกเกมจนทำให้แคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ ปาดหน้าซานฟรานซิสโก โฟร์ตี้ไนเนอร์ส ได้ในช่วงของการต่อเวลาพิเศษ
ในเกมที่สุดสูสีที่อัลลีเจียนต์สเตเดียมในลาสเวกัส ควอเตอร์แบ็กวัย 28 ปี ไม่ได้ทำเพียงแค่การขว้างบอลอย่างแม่นยำในเพลย์สำคัญ แต่ยังแสดงความครบเครื่องในแบบที่บร็อก เพอร์ดี คู่ปรับอีกฟากของสนามได้แต่อิจฉา เพราะมาโฮมส์ทั้งแข็งแรง รวดเร็ว และชาญฉลาดในการวิ่งทำระยะขึ้นมาด้วยตัวเอง
การวิ่งของมาโฮมส์ในช่วงควอเตอร์ที่ 4 และในช่วงของการต่อเวลาพิเศษคือหนึ่งในจุดเปลี่ยนของเกมเลยก็ว่าได้
ชัยชนะในเกมวันอาทิตย์ที่ผ่านมาทำให้ควอเตอร์แบ็กอัจฉริยะกลายเป็นอีกหนึ่งคนที่คว้าแหวนซูเปอร์โบวล์มาครองได้เป็นวงที่ 3 ก่อนอายุจะครบ 30 ปี โดยที่เจ้าตัวให้คำมั่นว่าจะมีอีกหลายวงที่จะตามมาในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายอยู่ที่การไปให้ถึงจุดเดียวกับทอม เบรดี ตำนานตลอดกาลผู้ครอบครองแหวนซูเปอร์โบวล์ถึง 7 วง หรือไปให้ไกลยิ่งกว่า
แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น อยากชวนให้กลับมาย้อนอ่านจดหมายฉบับหนึ่งที่เขาเขียนแนะนำตัวเองในการดราฟต์ตัวผู้เล่นเมื่อ 7 ปีที่แล้ว
จดหมายที่จะทำให้เรามองเห็นภาพตัวตนของเขาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะในปัจจุบันหรือในอดีตก็ตาม
จดหมายฉบับดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ทาง The Players’ Tribune เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2017 ในระหว่างที่มาโฮมส์ซึ่งอยู่กับทีมเท็กซัสเทค ฟุตบอล กำลังรอคอยโอกาสในการจะถูกดราฟต์เข้าทีม
โดยมีเนื้อความดังนี้
ถึงโค้ชใน NFL และผู้จัดการทีมทุกท่าน
เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่ผมได้พยายามตอบคำถามของทุกท่านถึงด้านที่ดีที่สุดในความสามารถของผมผ่านเทปที่บันทึกการเล่นของผม การบรรยายจังหวะการเล่น การลงรายละเอียดถึงกระบวนการตัดสินใจของผม ไปจนถึงเวลาที่ผมเข้านอนและสิ่งที่ผมรับประทานเป็นอาหารเช้าในทุกวัน
คุณคงได้เห็นผมวิ่ง กระโดด ยกน้ำหนัก และการขว้างที่ไกลที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ คุณคงประหลาดใจว่าผมจะสามารถปรับเข้ากับความเร็วของเกมในระดับโปรและปรับเข้ากับความซับซ้อนของเกมบุกในระดับ NFL ได้หรือไม่
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่สำคัญทั้งสิ้น และโดยส่วนใหญ่แล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับการเล่นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพียงแต่มันไม่ใช่การเล่นฟุตบอลจริงๆ สิ่งเหล่านี้ไม่เหมือนกับการลงเล่นในเกมจริงๆ หรือการกอดกับเพื่อนร่วมทีมของผมเลย
ฟุตบอลนั้นเราเล่นกันใต้แสงไฟ เผชิญกับสิ่งต่างๆ ต่อหน้าคนกว่า 60,000 คน มันทำให้เราเกิดการตื่นตัวไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม ไปจนถึงความมุ่งมั่นที่จะพาทีมกลับมาให้ได้ในสถานการณ์ที่เหมือนเรากำลังจะแพ้แน่นอนอยู่แล้วในควอเตอร์ที่ 4
มันคือการทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสามารถจะทำได้เพื่อจะไปให้ถึงเรดโซน (พื้นที่ระยะ 20 หลาก่อนถึงเอนด์โซน) บางครั้งเราเสียท่าในการเล่นไปแล้ว นั่นทำให้เราต้องเล่นอย่างสร้างสรรค์
ผมไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบหรอก แต่ในอเมริกันฟุตบอลไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบเสมอไปอยู่แล้ว มันไม่มีทางที่ทุกสิ่งจะเป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ ผมรู้ว่าผมคงไม่สามารถจะให้คำตอบที่สมบูรณ์แบบต่อทุกคำถามจากพวกคุณ ในเทปวิดีโอคุณจะได้เห็นการเล่นที่ผิดพลาดของผม และผมก็พลาดการขว้างบอลมา 2-3 ครั้งในวันโปรเดย์ (วันที่ให้นักอเมริกันฟุตบอลในระดับมหาวิทยาลัยได้ลงแข่งโชว์ลีลาในการแข่งจริงๆ)
แต่ผมก็หวังว่าพวกคุณจะสังเกตเห็นว่าทุกคำตอบที่ผมตอบไปคือความเห็นใจ และในเวลาที่ผมทำพลาดในสนามผมจะเป็นคนที่รับผิดชอบต่อตัวเองเสมอ ผมหวังว่าคุณจะสังเกตเห็นได้ว่าผมทำอะไรได้มากกว่าแค่การขว้างบอลได้ไกล ผมไม่อยากให้คุณคิดว่าผมมีแค่แขนใหญ่ๆ เท่านั้น ผมเป็นผู้เล่น และผมก็พร้อมจะทำหน้าที่ในฐานะควอเตอร์แบ็กของพวกคุณ
สิ่งเดียวที่ผมคิดในใจคือการทำอย่างไรก็ได้เพื่อช่วยให้ทีมชนะ ผมคิดถึงการเล่นในลีก (NFL) มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ และตอนนี้เราก็ใกล้จะถึงวันดราฟต์ตัวของ NFL แล้ว
ผมพร้อมที่จะแสดงให้โลกได้เห็นแล้วว่าผมมีความสามารถแค่ไหน
ผมเติบโตมาโดยการดูพ่อของผม (แพท มาโฮมส์ นักเบสบอลอาชีพระดับ MLB) ลงแข่งเจอกับผู้เล่นที่เก่งที่สุดในโลกในฐานะพิชเชอร์ตัวหลักของลีก ผมดูเขาเล่นมา 11 ปี ผมคือคนรู้ว่าพ่อต้องทุ่มเทแค่ไหนในแต่ละวัน และผมต้องทำแค่ไหนถ้าคิดอยากจะประสบความสำเร็จใน NFL
ผมได้เห็นสายตาที่แน่วแน่ของพ่อก่อนลงแข่งทุกเกม ผมรู้ว่าพ่อใช้เวลาแค่ไหนในการพยายามฝึกและพยายามหาทางเอาชนะคู่แข่ง เขาทุ่มเททุกอย่างในทุกวันเพื่อทำให้ดีขึ้นไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม และถ้าเขาได้เห็นผู้บรรยายพูดถึงสถิติของเขาในทางลบทางโทรทัศน์ เขาจะไม่ยอมปล่อยให้มันมีผลต่อการเล่นของเขาเด็ดขาด สิ่งเดียวที่เขาจะเอาคำพูดเหล่านี้มาใช้คือใช้เป็นแรงกระตุ้นตัวเอง
ในตอนนี้ผมเองก็กระตุ้นตัวเองในแบบเดียวกับพ่อ ผมเคยได้ยินพวกนักวิเคราะห์ตั้งข้อสงสัยถึงสิ่งที่ผมสามารถจะทำได้ ผมจะทำแบบนั้นได้ไหมแบบนี้ได้ไหม ผมจะมีวินัยพอที่จะเป็นควอเตอร์แบ็กใน NFL ได้ไหม
ไม่ว่าคำวิจารณ์เหล่านั้นอยากจะเล่นงานผมแค่ไหน ผมรู้ว่าผมสามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยความตั้งใจ ผมไม่ใช่ควอเตอร์แบ็กที่อยู่ในกรอบ ผู้คนที่พูดแบบนั้นแปลว่าพวกเขาไม่เคยดูการเล่นของผมจริงๆ ผมรู้ว่าผมขว้างรูปแบบไหนก็ได้ โดยเฉพาะในเวลาที่ทีมของผมต้องการการเล่นที่พลิกเกมได้
3 ปีที่ผมอยู่กับเท็กซัสเทค ผมได้เรียนรู้มากมายในการนำเกมรุก หนึ่งในเรื่องสำคัญมากๆ คือการที่ต้องได้รับการยอมรับในห้องแต่งตัวของผม ผู้นำคือคนที่จะต้องเป็นแบบอย่างแก่ทุกคน ผมไม่ได้คาดหวังว่าผมจะเข้าทีมมาแล้วรู้ทุกอย่างตั้งแต่วันแรกในแคมป์เก็บตัวเลย แต่ผมพร้อมที่จะเริ่มต้นทุกอย่างตามกระบวนการ ถึงตอนนี้ผมคิดว่าคุณคงได้รู้แล้วว่าผมเป็นผู้เล่นแบบไหน และสิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือผมอยากจะเป็นผู้เล่นแบบไหนในทีม
ผมหวังอย่างยิ่งว่าสิ่งสำคัญที่คุณจะสังเกตเห็นได้จากสถิติการเล่นของผมในระดับมหาวิทยาลัยคือผมทำได้ดีขึ้นในทุกด้านในทุกฤดูกาลที่ผ่านไป นี่คือสิ่งที่ผมภูมิใจมาก ผมจะไม่ทำนายอนาคตของผมหรอก แต่ผมอยากบอกให้คุณมั่นใจได้ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้จักดี นั่นก็คือวิธีที่จะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น
และผมรู้ว่าถ้าผมอยากจะเข้าทีมและสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ทันที ผมต้องมีความคิดก่อนว่าผมจะต้องพยายามทำทุกอย่างให้ดีขึ้นในทุกวัน ในการซ้อมทุกครั้ง ในการรับบอลทุกครั้ง และผมตั้งใจที่จะทำแบบนั้นให้ได้ด้วย
ผมจะไม่เป็นเด็กขี้แยที่โวยวายในระหว่างทางเหล่านั้น ผมจะไม่เสียสมาธิไม่ว่าจะเป็นเรื่องในหรือนอกสนาม
ผมจะใช้เวลาที่มีในการเล่นตามตำราแผน (Playbook) ให้ดีที่สุด ผมจะไม่ยอมหยุดจนกว่าผมจะทำทุกอย่างได้ถูกต้อง แม้กระทั่งในรายละเอียดเรื่องเล็กๆ
ผมอาจจะทำผิดพลาดบ้างระหว่างทาง และผมคงไม่ชนะทุกนัดที่ลงเล่น ผมคงไม่มีวันจะปิดฉากชีวิตการเล่นด้วยสถิติการขว้างบอลที่สมบูรณ์แบบโดยที่ไม่โดนตัดบอลเลยหรอก แต่ผมจะพยายามอย่างหนักเหมือนทุกคน
ผมพร้อมที่จะเริ่มต้นเส้นทางสู่การเป็นแชมเปียน และเหนือกว่าสิ่งอื่นใดบนโลกใบนี้ ผมพร้อมแล้วที่จะสวมชุดและลงสนาม ยิ่งเราไปถึงจุดนั้นได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี
ตอนนี้ผมจะรอจนกว่าคุณจะได้เห็นผมอยู่ในฮัดเดิลกับทีม
หลังจดหมายฉบับนี้ แพทริก มาโฮมส์ ได้ถูกดราฟต์เข้าทีมแคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ ในอันดับที่ 10
และที่เหลือนับจากนี้คือประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ NFL
อ้างอิง: