ไม่มีปาฏิหาริย์ที่กรุงโรมเป็นครั้งที่ 2 แม้ว่าโรมาจะสามารถเปิดบ้านเอาชนะลิเวอร์พูลในเลกที่ 2 ของรอบรองชนะเลิศศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกไป 4-2 แต่ผลประตูรวม 2 นัดลิเวอร์พูลยังเหนือกว่าที่ 7-6 ส่งพวกเขาผ่านเข้ารอบชิงไปพบกับเรอัล มาดริด ที่กรุงเคียฟ ประเทศยูเครน ในวันที่ 26 พฤษภาคมนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สโมสรจากอังกฤษผ่านเข้าสู่รอบชิงฯ นับตั้งแต่เชลซีเอาชนะบาเยิร์น มิวนิกด้วยจุดโทษเมื่อปี 2012
โดยเกมที่สตาดิโอ โอลิมปิโก กรุงโรม ประเทศอิตาลี เลกที่ 2 และเกมสุดท้ายของรอบรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในปีนี้ โรมาพกสถิติไม่เสียประตูในบ้าน มาลงสนามพบกับลิเวอร์พูล ซึ่งมีความได้เปรียบถึง 3 ประตูจากเลกแรกที่เอาชนะมาได้ 5-2 ที่แอนฟิลด์
เริ่มเกมมาได้เพียง 9 นาที ซาดิโอ มาเน ก็ทำลายสถิติไม่เสียประตูในบ้านของโรมาได้สำเร็จ จากจังหวะที่รัดยา นาอิงโกลัน มิดฟิลด์โรมาจ่ายบอลพลาดในแดนกลาง ก่อนที่โรแบร์โต เฟอร์มิโน จะได้บอลเปิดให้ซาดิโอ มาเน ยิงด้วยเท้าซ้ายในกรอบเขตโทษเข้าประตูขึ้นนำไปก่อน 1-0 และทำให้โรมาต้องยิงเพิ่มเป็น 4 ประตูถึงจะผ่านเข้ารอบ
แต่เจ้าบ้านโรมาก็ตีเสมอได้สำเร็จ เมื่ออเลสซานโดร ฟลอเรนซี โยนบอลจากฝั่งขวา ไปที่สเตฟาน เอล ชาราวี ที่รออยู่เสาสอง โหม่งตั้งไปโดนเดยัน ลอฟเรน กองหลังลิเวอร์พูลสกัดบอลพลาดเตะไปอัดหน้าของมิลเนอร์ และบอลพุ่งเข้าประตูตัวเอง ตีเสมอได้เป็น 1-1
นาทีที่ 25 เจมส์ มิลเนอร์ เปิดลูกเตะมุมจากฝั่งซ้ายเข้ามาโดนเอดิน เซโก ที่พยายามจะกระโดดสกัดแต่พลาด ทำให้บอลไปตกที่จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม โหม่งเข้าประตูขึ้นพาลิเวอร์พูลนำ 2-1 และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้
เริ่มต้นครึ่งหลังมาเจ้าบ้านตีเสมอได้สำเร็จในนาทีที่ 52 จากจังหวะที่ลอเรนโซ เปลเลกรินี ส่งบอลให้สเตฟาน เอล ชาราวี ยิงไปติดเซฟของลอริส คาริอุส แต่เอดิน เซโก ก็เข้ามาซ้ำได้สำเร็จตีเสมอเป็น 2-2
ช่วงท้ายเกมโรมาได้เพิ่มอีก 2 ประตูจากลูกยิงของรัดยา นาอิงโกลัน ที่ยิงไกลจากนอกกรอบเขตโทษในนาทีที่ 86 และจุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ซึ่งนาอิงโกลัน ยิงผ่านมือผู้รักษาประตูขึ้นนำไป 4-2
แต่สุดท้ายกรรมการเป่าหมดเวลา ชัยชนะ 4-2 ของโรมาในเกมนี้ไม่เพียงพอต่อการผ่านเข้ารอบ เนื่องจากประตูรวมเป็นรองลิเวอร์พูลอยู่ที่ 7-6 ตกรอบรองชนะเลิศ ขณะที่ลิเวอร์พูลนับเป็นทีมแรกจากพรีเมียร์ลีกอังกฤษที่ผ่านเข้าชิงยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ตั้งแต่ปี 2012 และนับเป็นการรีแมตช์นัดชิงปี 1981 กับเรอัล มาดริด จากสเปนอีกด้วย
เจอร์เกน คลอปป์ กุนซือวัย 50 ปีชาวเยอรมันของลิเวอร์พูลให้สัมภาษณ์หลังเกมยอมรับว่า ลิเวอร์พูลอาจรับมือไม่ไหวหากเกมดำเนินต่อไปอีก 15 นาที
“เรามีโชคช่วยซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการ คงจะเป็นอะไรที่เหมาะสมสำหรับโรมา ถ้าพวกเขาได้ต่อเวลาพิเศษ แต่ผมไม่แน่ใจว่าพวกเราจะรับมือได้อย่างไรกับเวลาที่เพิ่มขึ้นอีก 15 นาที
“เราเข้ามาในรายการนี้ในฐานะทีมควอลิฟายด์ และตอนนี้เราผ่านเข้าสู่รอบชิงฯ ดังนั้นผมมีความสุขมากสำหรับสโมสร นักเตะ และแฟนบอล เราจะไปสู่รอบชิงฯ ที่เคียฟ และเล่นอย่างเต็มที่”
สำหรับรอบชิงฯ ในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสคว้าแชมป์แรกให้กับลิเวอร์พูลหลังจากที่เขาเข้ามาคุมทีมตั้งแต่ตุลาคม ปี 2015 โดยคลอปป์พาทีมเข้าชิงลีกคัพปี 2016 แต่พ่ายให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ด้วยจุดโทษ ก่อนที่จะเข้าชิงยูโรปาลีก และพ่ายให้กับเซบีญาในรอบชิง 3 เดือนหลังจากนั้น
และสถิติในการผ่านเข้าสู่รอบชิง 5 ครั้งหลังสุดคือความพ่ายแพ้ทั้งหมด แต่หากเขาสามารถพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยุโรปได้ในครั้งนี้จะเป็นแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ของทีม และคลอปป์จะกลายเป็นกุนซือคนที่ 4 ที่พาลิเวอร์พูลสู่แชมป์ยูโรเปียนส์คัพ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ต่อจาก บ็อบ เพสลีย์ (1977, 1978 และ 1981) โจ เฟแกน (1984) และราฟาเอล เบนิเตซ (2005)
อ้างอิง:
