ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ของฟิลิปปินส์ ประณามเหตุระเบิดรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (3 ธันวาคม) ที่เมืองมาราวี ทางตอนใต้ของประเทศ พร้อมระบุว่า ‘ผู้ก่อการร้ายต่างชาติ’ อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์โจมตีดังกล่าว ในขณะที่ตำรวจและทหารเพิ่มกำลังรักษาความปลอดภัยทางตอนใต้ของประเทศและรอบกรุงมะนิลา เมืองหลวง
รายงานระบุว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 คน และบาดเจ็บอย่างน้อย 50 คน จากเหตุระเบิดซึ่งเกิดขึ้นระหว่างพิธีมิสซาในโรงยิมของมหาวิทยาลัยมินดาเนา (Mindanao State University) ในเมืองมาราวี โดยเมืองนี้เคยมีประวัติถูกกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ปิดล้อมนาน 5 เดือนเมื่อปี 2017
“ผมขอใช้ถ้อยคำที่รุนแรงที่สุดเพื่อประณามการกระทำที่ไร้สติและสุดแสนจะชั่วร้ายโดยฝีมือของผู้ก่อการร้ายต่างชาติ” มาร์กอสระบุในแถลงการณ์ “พวกหัวรุนแรงที่ใช้ความรุนแรงต่อผู้บริสุทธิ์คือศัตรูของเรา”
กิลแบร์โต เทโอโดโร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของฟิลิปปินส์ กล่าวในการแถลงข่าวว่า ฟิลิปปินส์จะนำตัวผู้กระทำผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้จงได้
รัฐมนตรีกลาโหมเผยว่า มีหลักฐานชัดเจนว่าเหตุระเบิดดังกล่าวเป็นฝีมือของผู้ก่อการร้ายจากต่างประเทศ แต่ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้กระทบกับการสืบสวนสอบสวนที่กำลังดำเนินอยู่
ขณะที่ โรมิโอ บรอว์เนอร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่า เหตุระเบิดในเมืองมาราวีซึ่งเป็นเมืองเอกของจังหวัดตีโมกลาเนา หรือลาเนาเดลซูร์ เกิดขึ้นภายหลังปฏิบัติการทางทหารต่อกลุ่มหัวรุนแรงในพื้นที่ทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ซึ่งสนับสนุนกลุ่มรัฐอิสลาม (IS) รวมถึงปฏิบัติการล่าสุดในวันอาทิตย์ที่เป็นเหตุให้ผู้นำกลุ่มเดาละห์ อิสลามียะห์-เมาตี (Dawlah Islamiya-Maute) ถูกปลิดชีพ
“เป็นไปได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้เป็นการโจมตีตอบโต้เพื่อแก้แค้น” ผู้บัญชาการทหารฟิลิปปินส์กล่าวในการแถลงข่าว
กลุ่มเดาละห์ อิสลามียะห์-เมาตี ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มรัฐอิสลาม เคยก่อเหตุเข้ายึดเมืองมาราวีเมื่อเดือนพฤษภาคม 2017 โดยพยายามทำให้เมืองนี้เป็นเขตการปกครองในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้สำหรับกลุ่มรัฐอิสลาม ทั้งนี้ ในการสู้รบ 5 เดือนต่อมาระหว่างนักรบอิสลามิสต์กับกองกำลังฟิลิปปินส์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไปมากกว่าหนึ่งพันคน ในจำนวนนี้รวมถึงพลเรือนด้วย
อ้างอิง: