เพชรสีทำราคาได้ดีในการประมูลท่ามกลางราคาเพชรที่ตกต่ำลงกว่า 20% และความกังวลว่า Gen Z ไม่ได้สนใจเพชรเหมือนคนรุ่นก่อน

Bleu Royal คว้าตำแหน่งเพชรที่มีราคาสูงที่สุดในปีนี้ด้วยราคาสูงถึง 43.8 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.55 พันล้านบาท ที่งานประมูลของ Christie’s ในกรุงเจนีวาเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ขณะที่การประมูลในฮ่องกงช่วงเดือนตุลาคม เพชรสีทำสถิติราคาได้ดี สะท้อนความเชื่อมั่นในหมู่นักสะสมเรื่องมูลค่าการลงทุนของอัญมณีหายากในตลาดระดับบน สวนทางกับภาพรวมของอุตสาหกรรมเพชรที่ราคาปรับตัวลดลงราว 20%

Bleu Royal เป็นเพชรสีน้ำเงินไร้ตำหนิที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในการประมูล ด้วยน้ำหนัก 17.6 กะรัต โดยปกติแล้วเพชรสีน้ำเงินที่มีน้ำหนักมากกว่า 10 กะรัตนั้นหายากอยู่แล้ว และมีเพียง 3 ชิ้นเท่านั้นที่มีการประมูลโดย Christie’s ได้แก่ Bulgari Blue ราคา 15.8 ล้านดอลลาร์ ในปี 2010, Winston Blue ราคา 23.8 ล้านดอลลาร์ ในปี 2014 และ Oppenheimer Blue ราคา 57.5 ล้านดอลลาร์ ในปี 2016

ส่วนที่ Sotheby’s ฮ่องกง เพชรสีน้ำเงิน The Infinite Blue น้ำหนัก 11.28 กะรัต ถูกขายในราคา 25.4 ล้านดอลลาร์ หรือราว 900 ล้านบาท กลายเป็นหนึ่งในราคาเพชรที่สูงที่สุดในการประมูลในเอเชีย นอกจากขนาดและสีสัน เพชรเม็ดนี้ยังดึงดูดนักสะสมอัญมณีในเอเชียด้วยตัวเลขมงคลคือเลข 8 ซึ่งถือเป็นเลขแห่งความเจริญรุ่งเรืองของชาวเอเชีย ทั้งน้ำหนัก 11.28 กะรัต และการเจียระไนเพื่อรวมเลข 8 เข้าไป นอกจากนี้ยังมีจี้เพชรสีเหลือง น้ำหนัก 74.48 กะรัต ถูกขายในราคา 2.5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 88.5 ล้านบาท

ขณะที่การประมูลที่ Phillips ในฮ่องกงเมื่อเดือนตุลาคม อัญมณีที่ประมูลได้ราคาสูงสุดคือดีไซน์ที่มีเพชรสีรวมอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพชรสีน้ำเงินเข้มหนัก 1.63 กะรัต ขายได้ในราคา 9.49 แสนดอลลาร์ หรือราว 33.6 ล้านบาท, ต่างหูเพชรสีเหลืองหนัก 9.69 และ 9.71 กะรัต ในราคา 5.38 แสนดอลลาร์ หรือราว 19 ล้านบาท และแหวนเพชรสีส้มอมชมพู 5.41 กะรัตราคา 4.23 แสนดอลลาร์ หรือราว 14.9 ล้านบาท อีกทั้งปลายเดือนนี้ Christie’s มีกำหนดประมูลเพชรสีชมพูหายาก The Pink Supreme น้ำหนัก 15.48 กะรัต ซึ่งคาดว่าจะมีราคาสูงถึง 9-12.8 ล้านดอลลาร์ หรือราว 321-456 ล้านบาทเลยทีเดียว

ในทางกลับกันอุตสาหกรรมเพชรกำลังอยู่ในช่วงราคาตกต่ำ โดยเพชรเจียระไนราคาตกลงกว่า 20% และเพชรดิบตกลงกว่า 35% ทำให้ล่าสุด De Beers ยื่นข้อเสนอให้กับผู้ค้าเพชรแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือทางเลือกในการไม่ต้องซื้ออะไรเลย

ก่อนหน้านี้ De Beers ทำการตลาดเพชรดิบในรูปแบบการขายที่เข้มงวด โดยผู้ซื้อที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องซื้อในโควตาตามสัญญาทั้งหมดด้วยราคาที่ De Beers กำหนด ไม่เช่นนั้นก็อาจมีผลกับออร์เดอร์ในอนาคต แต่ด้วยราคาเพชรที่ร่วงลงทั่วโลก กลายเป็นสาเหตุให้ผู้ผลิตเพชรรายใหญ่ของโลกต้องยืดหยุ่นมากขึ้น ส่วน Alrosa PJSC บริษัทเพชรของรัสเซีย ก็ได้ยกเลิกการขายทั้งหมดเป็นเวลา 2 เดือน

ในการขายของ De Beers ครั้งนี้มียอดการขายเพชรดิบที่ยังไม่ได้เจียระไนมูลค่าเพียง 80 ล้านดอลลาร์ จากปกติอยู่ระหว่าง 400-500 ล้านดอลลาร์

ก่อนหน้านี้ตลาดการค้าเพชรเป็นหนึ่งในผู้ชนะช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด ด้วยราคาที่พุ่งสูงขึ้นจากการที่นักช้อปหันไปหาเครื่องประดับเพชรและสินค้าฟุ่มเฟือยแก้เหงา เมื่อราคาสูงขึ้นทำให้ผู้ค้าเพชรบางรายเริ่มสต๊อกเพชรเพื่อเก็งกำไร แต่เมื่อทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติ อุปสงค์ก็ลดลง ผนวกเข้ากับเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ ส่วนตลาดที่เติบโตเร็วอย่างจีนก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์จนบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค นอกจากนี้ยังมีอุตสาหกรรมเพชรสังเคราะห์ที่เข้ามาแย่งตลาดไปอีก อย่างไรก็ตาม ราคาขายและการประมูลบางแห่งได้เพิ่มขึ้นระหว่าง 5-10% ในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากการควบคุมอุปทานอย่างเข้มงวดเริ่มส่งผลต่อตลาดแล้ว

ไม่เพียงแต่ราคาเพชรที่ร่วงลง ตลาดสินค้าฟุ่มเฟือยก็ค่อนข้างเงียบเหงา อย่างเช่นบริษัท LVMH Moet Hennessy Louis Vuitton SE หุ้นมีมูลค่าลดลงมากกว่าพันล้านดอลลาร์ตั้งแต่กลางเดือนเมษายน ส่วน Richemont เจ้าของแบรนด์ Cartier ก็มีรายรับลดลงจากยอดขายนาฬิกาหรูลดลง เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนยังไม่ดีเท่าที่ควร และความต้องการของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ก็ลดลงด้วย

แม้ว่าตอนนี้ราคาเพชรจะเริ่มคงที่ และในบางพื้นที่ก็สูงขึ้นในช่วงเทศกาลสำคัญ แต่ยังคงมีความไม่แน่นอนในอุตสาหกรรมค้าเพชร จากการเปลี่ยนแปลงทางเลือกของผู้บริโภคที่หันไปหาเพชรสังเคราะห์กันมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภค Gen Z ที่อาจให้คุณค่าต่อเพชรไม่เหมือนกับคนในรุ่นก่อนๆ

Bleu Royal ราคาประมาณ 1.55 พันล้านบาท