×

‘น้ำมันผสมยาง’ ส่วนผสมสำคัญที่ช่วยให้การส่งออกยางรถยนต์ไทยยืนแถวหน้าของโลก

14.11.2023
  • LOADING...

เมื่อพูดถึงยางรถยนต์ที่พาเราโลดแล่นไปบนท้องถนน หลายคนอาจนึกไม่ถึงว่า ไทยคือหนึ่งผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ของโลก ซึ่งเมื่อปี 2022 ที่ผ่านมา ไทยมียอดการส่งออกเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียงแค่จีนเท่านั้น  

 

แต่ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มมากขึ้น และกฎระเบียบที่เข้มงวดของสหภาพยุโรป กำลังทำให้เวลานี้อุตสาหกรรมผลิตยางรถยนต์ไทยต้องปรับตัวครั้งใหญ่ พร้อมมองหาน้ำมันสำหรับกระบวนการผลิต หรือน้ำมันผสมยาง (Rubber Process Oil) ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น 

 

น้ำมันผสมยางที่ว่าคืออะไร สำคัญอย่างไรต่อการผลิตยางรถยนต์ ทำไมถึงช่วยลดผลกระทบต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมได้? 

 

น้ำมันผสมยางสำคัญต่ออุตสาหกรรมยางรถยนต์อย่างไร? 

 

ก่อนจะมาเป็นยางรถยนต์ที่มีรูปร่างหน้าตาอย่างที่เราคุ้นชิน ยางเหล่านั้นจะต้องผ่านกระบวนการที่เรียกว่า การผสมยางคอมปาวนด์ (Compound Mixing) ซึ่งถือเป็นกระบวนการแรกที่จะนำวัตถุดิบอย่าง ยางธรรมชาติ ยางสังเคราะห์ สารเคมี สารเสริมแรง และน้ำมันผสมยาง มาผสมให้เข้ากัน 

 

โดยน้ำมันผสมยางนั้น จะทำหน้าที่ช่วยให้ยางอ่อนตัวลง ลดแรงเสียดทาน ลดความร้อน รวมถึงทำให้ส่วนผสมทั้งหมดละลายคลุกเคล้ากลายเป็นเนื้อเดียวกันได้ดี จนเหมาะกับการนำไปขึ้นรูปเป็นยางประเภทต่างๆ ในขั้นตอนต่อไป 

 

 

ที่สำคัญ น้ำมันผสมยางแต่ละประเภทก็เหมาะสมกับชนิดของยางที่แตกต่างกันออกไป หลายครั้งผู้ผลิตน้ำมันผสมยางจึงต้องพัฒนาสูตรเพื่อให้เหมาะกับยางแบบที่ลูกค้าต้องการโดยเฉพาะ จึงเรียกได้ว่าน้ำมันผสมยางนั้นมีความสำคัญต่อการผลิตยางรถยนต์อย่างมาก ชนิดขาดกันไม่ได้เลย 

 

จุดกำเนิดน้ำมันผสมยางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

ในบรรดาน้ำมันผสมยางหลากหลายประเภท ‘น้ำมันอะโรมาติกสูง (DAE)’ จัดว่าเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับการผลิตยางรถยนต์ เพราะมีจุดเด่นในเรื่องราคาถูก แต่มากล้นด้วยคุณสมบัติที่ช่วยทั้งเพิ่มความยืดหยุ่น ความทนทาน และผสมเข้ากับวัตถุดิบได้หลายชนิด 

 

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญของน้ำมันอะโรมาติกสูงเกิดขึ้นในปี 1994 หลังหน่วยงานตรวจสอบสารเคมีแห่งชาติของประเทศสวีเดน ค้นพบว่า น้ำมันอะโรมาติกสูงมีสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกคอมปาวนด์ (PACs) ในปริมาณสูง และหลายชนิดเป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) ที่บางคนอาจเคยได้ยินมาบ้างว่าเป็นสารก่อมะเร็ง ก็ถือเป็นประเภทหนึ่งของ PACs เช่นกัน 

 

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกเราทุกคนตรงที่เมื่อดอกยางรถยนต์สึกหรอ สารนี้ก็จะตกค้างอยู่ในอากาศ ถ้ามีการสูดเอาอากาศที่ปนเปื้อนเข้าไปอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ และในขณะเดียวกัน PACs ก็มีความเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทางบกและทางทะเลด้วย 

 

 

ดังนั้น ทางสหภาพยุโรปจึงออกกฎหมายฉบับหนึ่งขึ้นมาที่กำหนดว่า น้ำมันที่มีสาร PACs มากกว่า 3% ของน้ำหนัก จะต้องติดฉลาก R45 เพื่อระบุว่ามีสารก่อมะเร็ง 

 

ก่อนที่ปี 2006 จะออกกฎหมายอีกฉบับที่เรียกสั้นๆ ว่า REACH ขึ้นมาเพื่อยกระดับการควบคุมความปลอดภัยของสารเคมีอันตรายให้ดียิ่งขึ้น และแก้ไขเพิ่มเติมอยู่หลายครั้ง จนปัจจุบันกำหนดไว้ว่า น้ำมันผสมยางจะต้องมี PAHs ปริมาณน้อยกว่า 10 มก./กก. ถึงจะผ่านข้อกำหนด

 

แน่นอนว่า กฎระเบียบนี้ได้สร้างความท้าทายต่ออุตสาหกรรมยางรถยนต์อย่างมาก ในการต้องหาทางเลือกใหม่ที่ปลอดภัยกว่าน้ำมันผสมยางที่มีอะโรมาติกสูง แต่ก็มีผลดีที่ทำให้โลกได้รู้จัก ‘น้ำมันผสมยางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ 

 

น้ำมันผสมยางสูตรรักษ์โลกจาก PTT Lubricants

 

เชื่อไหมว่าในบรรดาผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของ PTT Lubricants ผู้นำด้านเทคโนโลยีน้ำมันหล่อลื่นของไทย ‘น้ำมันผสมยาง’ ถือเป็นน้ำมันที่มียอดขายมากที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรม หรือขายได้ประมาณ 20-30 ล้านลิตรต่อปีเลยทีเดียว 

 

เมื่อวันนี้ทั้งฝั่งผู้ผลิตและผู้บริโภคหันมาตระหนักถึงผลกระทบของน้ำมันอะโรมาติกสูงมากขึ้น ทาง PTT Lubricants ที่มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้าเป็นสำคัญ จึงมีการพัฒนา ‘RUBTEDA 401’ น้ำมันผสมยางประเภทอะโรมาติกต่ำ ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ออกวางจำหน่ายด้วย 

 

 

น้ำมันผสมยาง RUBTEDA 401 นั้นผลิตมาจาก Treated Distillated Aromatic Extracts (TDAE) คุณภาพสูงพิเศษ มีจุดเด่นที่มีความเป็นพิษต่ำ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมีปริมาณสาร PAHs ต่ำกว่า 10 มก./กก. ผ่านตามข้อกำหนดของสหภาพยุโรป จึงสามารถใช้กับผลิตภัณฑ์ยางที่ส่งออกไปยังยุโรปได้ ทั้งยังช่วยให้ยางมีคุณสมบัติที่ดีเหมาะกับทุกสภาพอากาศ แม้ต้องทำงานในสภาพอุณหภูมิต่ำด้วย แถมสามารถใช้ผสมได้ทั้งในกระบวนการผลิตยางรถยนต์ และยางสำเร็จรูปอื่นๆ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางฉนวนกันความร้อน ไปจนถึงยางสายพาน

 

 

ในอนาคตความต้องการรถยนต์ที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้ตลาดยางรถยนต์ทั่วโลกเติบโตขึ้นตามไปด้วย โดยทางบริษัทวิจัยด้านการตลาด Verified Market Research ประเมินเอาไว้ว่า ตลาดยางรถยนต์จะมีมูลค่าสูงถึง 34.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 

 

ในฐานะที่ไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางรถยนต์รายใหญ่ของโลก ไทยมีศักยภาพเพียงพอที่ขยายการผลิตและคว้าส่วนแบ่งการตลาดนี้ได้ แม้ไทยอาจต้องเผชิญกับความท้าทาย เรื่องการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น แต่ก็นับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีโอกาสทางเศรษฐกิจที่สดใสรออยู่ปลายทาง  

 

ระหว่างนี้  PTT Lubricants ที่อยู่เคียงข้างอุตสาหกรรมยางรถยนต์ไทยเสมอมาก็กำลังขยายตลาดน้ำมันผสมยาง เพื่อรองรับทุกการเติบโตของอุตสาหกรรมยางรถยนต์ในอนาคตไปพร้อมกัน

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising