วันนี้ (4 พฤศจิกายน) เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง พร้อมคณะ เช่น สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, มนพร เจริญศรี และ สุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม, สนธยา คุณปลื้ม ประธานที่ปรึกษาเมืองพัทยา โดยได้ขึ้นรถไฟขบวนรถพิเศษ 995 กรุงเทพ-แหลมฉบัง ที่ชานชาลาที่ 5 สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ไปยังสถานีรถไฟแหลมฉบัง ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนั่งรถไฟนายกรัฐมนตรีได้ประชุมรับฟังบรรยายสรุปภาพรวมด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และขีดความสามารถในการรองรับสินค้าของท่าเรือแหลมฉบัง
ขณะที่ เกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการท่าเรือแห่งประเทศไทย กำลังรายงานความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ถูกนายกรัฐมนตรีเบรกถึง 2 ครั้ง ให้พูดเข้าประเด็นปัญหา พร้อมทวงถามถึงความล่าช้าที่มีหลายเสียงสะท้อนมา ก่อนจะได้รับคำตอบว่าล่าช้าเพียง 1.8% เหตุผลหลักมาจากการส่งมอบพื้นที่ และเรือขุดจากประเทศจีนเข้ามาไม่ได้เนื่องจากการระบาดของโควิด คาดว่าจะเสร็จตามแผนในเดือนมิถุนายน 2567 และเมื่อ EEC เสร็จสมบูรณ์แบบ อัตราการรองรับขนถ่ายสินค้าของท่าเรือจะอยู่ในอันดับ 13-15 ของโลก
นายกรัฐมนตรีระบุด้วยว่า ขอให้จัดแถลงข่าวใหญ่ถึงความคืบหน้าให้สังคมได้รับทราบในสัปดาห์หน้า และกำชับให้เร่งรัดงาน ไม่อย่างนั้นเราเสียหายหนัก เพราะเวียดนามและอินโดนีเซียเป็นคู่แข่งสำคัญ อย่าให้ใครมาใส่ไฟนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในไทย อย่าให้ใครมาด้อยค่าหน่วยงานของท่าน มันไม่ดี ต้องเร่งทำความเข้าใจ สร้างความเชื่อมั่น
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนบนรถไฟว่า EEC เป็นขุมทรัพย์ของประเทศ ซึ่งสาธารณูปโภคพื้นฐานเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องน้ำ ไฟฟ้า ราง ถนน สนามบิน ท่าเรือ พลังงาน และภาษี สิทธิประโยชน์ต่างๆ เมื่อเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษต้องมาดูว่าจะพิเศษจริงหรือไม่ และติดขัดปัญหาตรงไหนต้องแก้ไขให้เป็นรูปธรรม
เศรษฐากล่าวว่า ตนมั่นใจว่าประเทศมีอะไรดีเยอะมาก จึงควรเพิ่มความสนใจในการมาลงทุน ทั้งโรงเรียน ระบบการดูแลสุขภาพ รวมถึงต้องให้ประชาชนรับทราบว่า EEC คืออะไร มีศักยภาพมากแค่ไหน ถ้าทำโครงการนี้สำเร็จได้จะยกระดับทรัพย์สินของประเทศให้เพิ่มสูงขึ้นได้มหาศาล
เศรษฐายืนยันว่า มีวิธีการประกาศเชิญชวนนักลงทุน โดยผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะต้องสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและสามารถทำได้จริง ไม่ใช่วาทกรรมสวยหรู หากมีการตั้งคณะกรรมการย่อยขึ้นมาดูแลจะดีมาก โดยต้องพิจารณาว่าต้องนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อช่วยไปทลายกำแพงอุปสรรคต่างๆ หรือไม่
ส่วนกรณีที่ระบบการทำงานของราชการอาจไม่ทันใจกับนักธุรกิจที่จะมาลงทุนนั้น เศรษฐากล่าวว่า ทราบอยู่แล้วว่าระบบราชการเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าข้าราชการมีความตั้งใจจริง ต้องให้เกียรติและพูดคุยว่าปัญหาของเราคืออะไร และพยายามแก้ไขให้มากที่สุด อย่ามองว่าเป็นอุปสรรค แต่มองเป็นโอกาสมากกว่า
