×

สู้กับความเก้อเขินของสังคม ‘น้ำผึ้ง’ หมอนวดในเมลเบิร์น ผู้มีฝันใหญ่กับวงการนิยายอีโรติกในไทย

29.09.2023
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • ประเทศไทยมีชื่อเสียงด้านงานนวด และร้านนวดไทยมีทั่วโลก แต่กลับไม่มีข้อมูลหรือการพูดถึงอย่างเป็นทางการในสังคม
  • นิยายอีโรติกมีมาตั้งแต่สมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์
  • ข้อมูลจาก World Reading Habits ได้รายงานว่า นิยายเชิงโรแมนซ์และอีโรติกเป็นประเภทนิยายที่ขายดีที่สุดอันดับ 1 มีมูลค่าสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์

ความสนใจในงานบริการและสภาวะหมดไฟทำให้ ‘น้ำผึ้ง บัวเจริญ’ ในวัย 40 ปี ตัดสินใจบินลัดฟ้าไปเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองครั้งใหญ่ บวกกับความรู้ทางด้านนวดแผนไทย เธอจึงเลือกประกอบอาชีพ ‘หมอนวด’ ในต่างแดน พร้อมทั้งเขียนเล่าเรื่องภายในห้องนวด ภายในร้านนวด และด้านนอกร้านนวด ตีแผ่ประสบการณ์จากคนรอบตัวในวงการหมอนวดไทยในเมลเบิร์น

 

ไม่ว่าจะเป็นด้านความรัก ด้านเซ็กซ์ รวมไปถึงการรู้จักตัวตนของตนเอง เธอจึงอยากบอกเล่าพร้อมกับสร้างการเรียนรู้ใหม่ในสังคมเกี่ยวกับอาชีพหมอนวด ผ่านบทอีโรติกที่อิ่มเอม เร่าร้อน และจริงใจ ในนวนิยายเรื่องใหม่ที่ชื่อว่า ‘Saturday I’m in Love

 

 

การเรียนต่อต่างประเทศคือความฝันที่ทุ้มอยู่ในใจ

 

น้ำผึ้งเล่าให้ฟังถึงการไปเมลเบิร์นว่า เป็นการสานฝันของตนเองในวัยเด็กที่อยากศึกษาต่อที่ต่างประเทศ แต่เมื่อเรียนจบตนก็ทำงานตามที่ระบบทุนนิยมกำหนด ความฝันจึงถูกเก็บไว้ในใจ จนเมื่ออายุย่างเข้าวัยเลข 4 เกิดอาการหมดไฟจากการทำงาน สิ่งที่ยังทุ้มอยู่ในใจคือการไปศึกษาต่อต่างประเทศ เธอจึงเดินตามความฝันโดยเริ่มต้นจากเรียนบาริสต้า เรียนนวดไทยที่วัดโพธิ์ เพื่อมีทักษะติดตัวไปดำรงชีวิตในเมลเบิร์น จากการที่เธอมีความสนใจในอาชีพผู้ให้บริการ จึงเริ่มประกอบอาชีพครูสอนภาษาไทย พนักงานเสิร์ฟ และ ‘หมอนวด’

 

ทำไมต้อง ‘หมอนวด’

 

น้ำผึ้งเล่าว่า เนื่องจากเมื่อก่อนการทำอาชีพนักประชาสัมพันธ์รวมไปถึง MC นั้น ต้องใช้รูปร่างและหน้าตาเป็นองค์ประกอบ จึงดูแลตัวเองด้วยการนวดหน้าเป็นหลัก และตกหลุมรักศาสตร์การนวดหน้าและนวดเรือนร่างนับจากนั้นเป็นต้นมา รวมไปถึง ‘เกิดคำถามกับวงการหมอนวด’

 

เพราะได้ยินแง่มุมที่ไม่ค่อยสวยงามกับงานนวด คือเรื่องการค้าบริการแอบแฝง จึงอยากเป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอวงการหมอนวดในคลาสเรียน แต่เมื่อไปหาข้อมูลกลับไม่พบข้อมูลที่น่าสนใจหรือข้อมูลที่อัปเดต ทั้งที่ประเทศไทยมีชื่อเสียงด้านงานนวด และร้านนวดไทยมีทั่วโลก แต่กลับไม่มีข้อมูลหรือการพูดถึงอย่างเป็นทางการในสังคม จึงเกิดความท้าทายใหม่ในการทำให้อาชีพหมอนวดเป็นที่พูดถึง และบอกเล่าชีวิตหลังม่านของหมอนวด

 

 

จากนักประชาสัมพันธ์สู่นักเขียนนวนิยายอีโรติก

 

ชื่อของ ‘น้ำผึ้ง บัวเจริญ’ เป็นที่คุ้นตาของเหล่านักอ่าน เพราะเธอเป็นเจ้าของผลงานพ็อกเก็ตบุ๊ก ‘ปลดล็อกความคิด ชีวิตติดปีก’ หนังสือขายดีในหมู่พนักงานออฟฟิศ 

 

เมื่อเธอมายังเมลเบิร์นในตอนแรกนั้น ตั้งใจจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับอาชีพหมอนวด แต่ด้วยความที่น้ำผึ้งจะนิยมการเขียนหนังสือจากการใช้ประสบการณ์ เมื่อทำอาชีพหมอนวดได้ 1 ปี ได้รับรู้เรื่องราวถึงความรักและความสัมพันธ์ต่างๆ ของชาวต่างชาติกับหญิงไทย โดยค่านิยมของหนุ่มออสซี่นั้นสามารถสร้างความสัมพันธ์ในเชิงอีโรติกได้ดี 

 

อีกทั้งประเทศออสเตรเลียค่อนข้างที่จะเสรีและเปิดกว้างให้พบปะกันได้ง่าย เมื่อเริ่มมีความสัมพันธ์ในระดับที่ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันในห้องนวดก็เพิ่มมากขึ้น ทำให้น้ำผึ้งเลือกนำเสนอผลงานแนวอีโรติก

 

แรงบันดาลใจถัดมาคือ ต้องการเล่าเรื่องให้เหมือนซีรีส์เรื่อง แดจังกึม ที่พรรณนาให้เห็นทุกรายละเอียดของขั้นตอนการทำงาน เพื่อให้ดื่มด่ำและรับรู้อรรถรสไปพร้อมกับการอ่าน ซึ่งการนวดที่น้ำผึ้งได้ทำไม่ใช่งานที่ง่าย จนเธอเอ่ยว่า “ทำครั้งแรกแล้วร้องไห้” อีกทั้งในขณะนั้นหัวใจของเธอยังคงไม่พร้อมจะต่อสู้ 

 

เมื่อต้องพรรณนาในส่วนของความสัมพันธ์ในนิยาย โดยธรรมชาติของมนุษย์ต้องมีเซ็กส์ จึงเลือกเขียนงานนิยายแนวอีโรติกอย่างละเอียด จึงทำให้วรรณกรรมที่เธอเขียนสมบูรณ์ขึ้นผ่านการใช้วรรณศิลป์ นอกจากนี้ การเขียนนวนิยายเชิงอีโรติกเป็นงานที่ท้าทาย แต่เมื่อก้าวข้ามผ่านไปได้จึงทำให้น้ำผึ้งเติบโตในด้านของการเป็นนักเขียนมากขึ้น 

 

ความยากของการเขียนนิยายแนวอีโรติกคือ ต้องเขียนนิยายที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจได้อย่างลื่นไหล อีกทั้งการหาสำนักพิมพ์เพื่อตีพิมพ์ก็เป็นอีกหนึ่งความยากลำบาก จึงทำให้งานเขียนของเธอใช้เวลาถึง 2 ปีจึงจะสำเร็จ

 

 

ความยากลำบากในเรื่องค่านิยมของสังคม

 

น้ำผึ้งเติบโตในสังคมที่ต้องทำตามกรอบของสังคม ซึ่งเธอเปิดเผยว่า เมื่อครั้งเรียนในระดับมหาวิทยาลัยก็ไม่มีแฟน ไม่เคยพาผู้ชายเข้าบ้าน อีกทั้งในตอนนั้นเธอยังมองว่าการมีแฟนเป็นเรื่องเสียหายและรับไม่ได้

 

ความท้าทายเรื่องแรกคือ น้ำผึ้งทำงานบริหารบริษัทของตัวเองที่ต้องทำงานไปกับผู้หลักผู้ใหญ่ จึงสร้างความเครียดให้เธออย่างมาก แม้จะมีความเครียดแต่น้ำผึ้งกลับไม่ได้เกรงกลัวกับการมองด้วยสายตาของผู้ใหญ่ เพราะในวัยเด็กเธอถูกเลี้ยงดูโดยใช้ตรรกะเป็นหลัก แต่สิ่งที่น้ำผึ้งค่อนข้างสนใจคือ ‘การมองของลูกค้าต่องานเขียน’ ซึ่งลูกค้าแต่ละคนต้องจัดการและรับมือแตกต่างกัน ทำให้เธอต้องเลือกตัดสินใจว่างานเขียนควรจะเป็นชื่อจริงหรือนามปากกา สุดท้ายจึงเลือกให้ชื่อจริงแทนนามปากกา

 

ความท้าทายที่สองคือ การสนับสนุน แม้จะเป็นงานที่แตกต่างไปจากประเภทเดิม ลูกค้าบางคนก็เลือกที่จะแอบอ่าน เพราะคนอ่านไม่กล้าที่จะอ่านและเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา อีกทั้งผู้อ่านบางคนรู้สึกเก้อเขินที่จะอ่าน เหตุนี้จึงให้เธอไม่กล้าเชิญคนใกล้ตัวมา หรือแม้จะเชิญมา คนใกล้ตัวก็ไม่มีความอินกับงานเขียนของเธอ อย่างไรก็ตาม แม้มีความยากลำบากจากค่านิยมเดิมของสังคม แต่สิ่งที่เธอได้รับคือพื้นที่ใหม่ในอีกกลุ่มของสังคม

 

 

นิยายอีโรติกในไทย

 

นิยายอีโรติกในประเทศไทยสามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ งานนวนิยายที่เกี่ยวกับเซ็กซ์ ในประเทศไทยมีมานานแล้ว แต่ตอนหลังเมื่อสังคมเริ่มยอมรับมากขึ้นจึงได้รับการเปิดเผยและเป็นที่รู้จัก ในส่วนที่สองคือ นวนิยายอีโรติกจริงๆ ในประเทศไทยมีมานานแล้ว เช่น งานนวนิยายอีโรติกของ รงค์ วงษ์สวรรค์ เรื่อง สนิมสร้อย ซึ่งงานเขียนของรงค์มีที่มาจากที่รงค์ได้ไปคลุกคลีกับสาวคณิกาในช่วงการปฏิวัติของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถัดมาคือผลงานดังอย่าง จัน ดารา ของ นนทรีย์ นิมิบุตร

 

กลุ่มเป้าหมายของนวนิยาย

 

Saturday I’m in Love แม้จะเป็นงานเขียนแนวอีโรติก แต่มีส่วนอื่นๆ ประกอบ ซึ่งไม่ได้มีเพียงอีโรติกอย่างเดียว ซึ่งเมื่อสังเกตจะพบว่าผู้อ่านส่วนใหญ่คือคนทำงาน หรือคนที่ต้องการจะค้นพบสิ่งใหม่ในเรื่องราวความรักและการค้นหาตนเอง โดยที่งานเขียนชิ้นนี้ได้เติมเต็มในส่วนของความต้องการที่ผู้อ่านได้ขาดหายไป

 

ตลาดนวนิยายอีโรติกทั่วโลก

 

ในต่างประเทศยอมรับวรรณกรรมอีโรติกมานานแล้ว น้ำผึ้งเล่าถึงการสำรวจข้อมูลที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งจุดสนใจของสังคมต่อนิยายอีโรติกในต่างประเทศนั้นขึ้นอยู่กับช่วงเวลา เช่น ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิดเป็นช่วงที่นวนิยายแนวอีโรติกได้รับการตอบรับมากเป็นพิเศษ และขายดีมากในเวลาดังกล่าว 

 

ข้อมูลจาก World Reading Habits ได้รายงานว่า นวนิยายแนวโรแมนซ์และอีโรติกเป็นนวนิยายที่ขายดีที่สุดอันดับ 1 มูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ และนวนิยายเชิงโรแมนซ์และอีโรติกมักจะขายดีเมื่อมีเนื้อหาเป็นพระเอกหล่อ-รวย และนางเอกอาภัพ เนื่องจากเป็นการเติมเต็มในสิ่งที่กลุ่มผู้อ่านขาดหายไป

 

 

อะไรที่นิยายอีโรติกต้องการจะบอกสังคม

 

สำหรับน้ำผึ้ง นวนิยายอีโรติกไม่ได้พรวดพราดมาจากตัณหาหรือความใคร่ทางเพศทันทีทันใด แต่ต้องมีที่มาที่ไป 

 

งานนวนิยายเชิงอีโรติกมีอิทธิพลต่อสังคมด้วยการมอบความเพลิดเพลิน การตอบสนองต่อความต้องการที่เราไม่สามารถค้นหาได้ในพื้นที่สาธารณะ 

 

น้ำผึ้งบอกว่า โดยปกติชีวิตคนเรามี 3 ส่วน คือ Public Life คือการโชว์ให้ผู้ติดตามเห็น ถัดมาคือ Private Life คือการเปิดเผยต่อครอบครัวและแฟน สุดท้ายคือ Secret Life คือพื้นที่ที่งานนวนิยายอีโรติกจะช่วยเติมเต็มในส่วนนี้ ซึ่งจะพาเราไปค้นพบตัวตนผ่านความเพลิดเพลิน

 

Saturday I’m in Love ต้องการจะสื่อถึงความเห็นคุณค่าในตัวเอง การรู้จักตัวเอง หรือความเป็นไปได้ที่ชีวิตมันมีมากมาย หรือเรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่ต้องรู้จักตนเองมากพอเพื่อรับผิดชอบตนเอง

 

หนังสือที่จับต้องได้ยังคงเป็นที่ต้องการหรือไม่

 

น้ำผึ้งมองว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะในต่างประเทศคนบางส่วนยังคงแอบอ่านนวนิยายเชิงอีโรติก ซึ่งการเป็นรูปเล่มนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว วิธีที่จะช่วยได้คือการออกแบบหน้าปกให้มีความเป็นศิลปะ ผู้อ่านเห็นปกแล้วต้องการที่จะอ่าน อีกทั้งการเป็นหนังสือยังสามารถเป็นของสะสมและอ่านได้สบายตากว่า

 

 

ความเก้อเขิน ศาสนา และสังคม

 

นวนิยายอีโรติกยังคงอยู่ในกรอบของศาสนา คำสอน และสังคม เพราะนิยายเชิงอีโรติกต้องการที่นำเสนอความเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่การละเมิดศีลธรรม ซึ่งงานอีโรติกกับศาสนา การอนุรักษ์ และสังคม เป็นประเด็นที่ทุกคนในสังคมให้ความสนใจและตั้งคำถาม โดยสิ่งที่เราควรทำคือ การคลี่ขยายแล้วไปต่อ และจุดร่วมกันที่จะต้องปรับ การจัดการประยุกต์ต่อไป และไม่ควรตัดสินว่าสิ่งใดถูกหรือผิด เพราะชีวิตมีความแตกต่างและเป็นไปได้ในหลายทาง

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X