ผลการสำรวจของ Oliver Wyman บริษัทที่ปรึกษาในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่านักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมากขึ้นกำลังชะลอแผนการเดินทางออกนอกประเทศ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น บวกกับปัจจัยลบด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอการเติบโตของจีน
โดยบริษัทที่ปรึกษาแห่งนี้ระบุว่า ผลสำรวจล่าสุดนี้ถือเป็นสัญญาณเตือนคร่าวๆ ต่อนานาประเทศทั่วโลกที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นแหล่งรายได้สำคัญและกำลังคาดหวังกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแหล่งนักท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ทั้งนี้ ผลการสำรวจพบว่า 54% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า พวกเขาวางแผนจะเดินทางในปี 2023 ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นนักเดินทางที่มีประสบการณ์ไปเที่ยวต่างประเทศก่อนที่การแพร่ระบาดของของโควิดจะปิดพรมแดนจีน ขณะที่ประมาณ 22% กล่าวว่า พวกเขาไม่มีแผนที่จะเดินทางไปต่างประเทศในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อนหน้าในเดือนมิถุนายนที่ 6%
นอกจากนี้ การสำรวจยังแสดงให้เห็นว่า 32% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า ความเต็มใจที่จะเดินทางไปต่างประเทศลดลง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน ในขณะที่มีเพียง 19% เท่านั้นที่ระบุว่า พวกเขามีแนวโน้มที่จะเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของความกระตือรือร้นในการเดินทางภายในประเทศยังคงแข็งแกร่ง โดย 35% กล่าวว่า พวกเขามีแนวโน้มที่จะเดินทางภายในประเทศจีนมากขึ้น
รายงานระบุว่า ผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดมีรายได้ครัวเรือนต่อเดือนขั้นต่ำที่ 30,000 หยวน เพื่อเป็นตัวแทนของชนชั้นกลางของจีนอย่างแท้จริง และถือเป็นกลุ่มที่เป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของการบริโภคของจีนหลังวิกฤตโควิด
แม้ว่าการใช้จ่ายด้านบริการเพื่อประสบการณ์ เช่น การเดินทาง และการรับประทานอาหารนอกบ้าน จะกลับมาฟื้นตัวได้ในปี 2023 แต่หลายฝ่ายก็อดเกิดคำถามขึ้นมาไม่ได้ว่าการใช้จ่ายดังกล่าวจะยั่งยืนหรือไม่
Imke Wouters พาร์ตเนอร์ของบริษัทที่ปรึกษา Oliver Wyman ซึ่งร่วมสำรวจในครั้งนี้กล่าวว่า นักท่องเที่ยวชาวจีนที่หวนกลับคืนเข้าสู่ตลาดท่องเที่ยวต่างประเทศใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้ หลังจากที่พรมแดนจีนเปิดอีกครั้ง
ทั้งนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนในปีนี้ค่อนข้างชะลอตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยได้อานิสงส์จากการท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อนที่กระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคและผลผลิตของโรงงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจมีสัญญาณโตอย่างมีเสถียรภาพ
กระนั้นผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ต่างจับตาวันหยุดยาว 8 วัน หรือ Golden Week ที่กำลังจะมาถึงในช่วงต้นเดือนตุลาคม เพราะจะเป็นอีกบททดสอบสำคัญว่าความพยายามล่าสุดของรัฐบาลจีนในการหนุนเศรษฐกิจกำลังเริ่มส่งผลหรือไม่
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าชาวจีนมากกว่า 21 ล้านคนจะเริ่มออกมาเดินทางโดยเครื่องบินในช่วงวันหยุด ซึ่งจะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันศุกร์ที่ 29 กันยายนนี้ ส่งผลให้ราคาตั๋วเครื่องบินในขณะนี้ปรับตัวพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากดีมานด์มีมากกว่าซัพพลาย โดยจุดหมายปลายทางหลักก็คือสถานที่ท่องเที่ยวภายในประเทศ ขณะที่จุดหมายปลายทางระยะสั้นในภูมิภาคเอเชีย เช่น ไทย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ก็เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวต่างแดนของชาวจีนในช่วง Golden Week นี้
ขณะเดียวกันผลการสำรวจครั้งนี้ยังชี้ว่า พิษเศรษฐกิจและความกังวลต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการเดินทางท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปริมาณการใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยด้วย โดยจากการสำรวจนักช้อปสินค้าฟุ่มเฟือยพบว่า ประมาณ 16% ของกลุ่มที่ใช้จ่ายน้อยกว่า 40,000 หยวนในปี 2023 คาดว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยของตนเล็กน้อย ในขณะที่กลุ่มคนที่ร่วมการสำรวจประมาณ 30% พิจารณาจะลดค่าใช้จ่ายลง อย่างไรก็ตาม นักช้อปมือเติบ คือผู้ที่ใช้จ่ายเงินมากกว่า 40,000 หยวน ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดยกลุ่มนี้ยังคงมีความยืดหยุ่นและมองโลกในแง่บวก
อ้างอิง: