หากใครได้เคยไปเดินแถวถนนโคเวนทรีสตรีท ทางใต้ของเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย จะพบว่าในบรรยากาศของตึกรามบ้านช่องที่เป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมจากยุค 1960 แล้ว มีผนังของอาคารแห่งหนึ่งที่ดูไม่ค่อยเข้าพวกนัก
บนผนังนั้นเป็นภาพวาด (Mural) ของชายคนหนึ่งที่คอห้อยเหรียญแชมป์ลีกฟุตบอลสกอตแลนด์ และในมือของเขาก็ถือโทรฟี่สีเงินอยู่
ชายในภาพคนดังกล่าวคือ แอนจ์ ปอสเตโคกลู ผู้ที่พากลาสโกว์ เซลติก คว้าแชมป์สกอตแลนด์ได้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว
และในเวลานี้คือคนที่เปลี่ยนท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ให้กลับมาเป็นทีมที่ดีอีกครั้ง
ทั้งๆ ที่ตอนได้โอกาสมาคุมทีม หลายคนตั้งคำถามกับเขาว่า ‘ใครคือแอนจ์?’
ย้อนกลับไปในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา แดเนียล เลวี ประธานสโมสรสเปอร์ส มีงานช้าง 2 อย่างที่ต้องจัดการเป็นการเร่งด่วน
หนึ่งคือการจัดการเรื่องอนาคตของ แฮร์รี เคน ศูนย์หน้าหมายเลขหนึ่งตลอดกาลของสโมสรว่าจะอยู่หรือไปจากทีม
แต่สิ่งที่ต้องทำเป็นการเร่งด่วนมากกว่าคืออีกเรื่อง กับการค้นหาคนที่จะมารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ภายหลังจากที่ประสบปัญหาอีกครั้งกับ อันโตนิโอ คอนเต กุนซือผู้แข็งกร้าวชาวอิตาเลียน ที่มีจุดจบไม่สวยงามนักและทำเอาสเปอร์สระส่ำระสายถึงขั้นหลุดวงโคจรจากการลุ้นไปรายการสโมสรยุโรป
ในช่วงนั้นมีชื่อของผู้จัดการทีมหลายคนที่เข้าข่าย รวมถึง ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ ที่ยังว่างงานอยู่หลังถูกปลดจากบาเยิร์น มิวนิก เพียงแต่การเจรจาไม่มีความคืบหน้าก่อนที่เรื่องจะเงียบไป
สุดท้ายกลายเป็น แอนจ์ ปอสเตโคกลู จากทีมกลาสโกว์ เซลติก ที่ได้โอกาสมารับงานนี้แทน
เด็กน้อยผู้อพยพมาพบชีวิตใหม่
ตามทะเบียนบ้านแล้วปอสเตโคกลูเป็นชาวออสเตรเลียก็จริง แต่จริงๆ เขาเกิดที่กรีซ และชื่อของเขา ‘แอนจ์’ ในความหมายในภาษากรีกนั้นหมายถึง ‘เทวดา’ เพียงแต่โชคชะตานำพาเขาและครอบครัวอพยพมาอยู่ออสเตรเลียตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากที่เกิดการปฏิวัติโดยทหารในกรีซ และครอบครัวของเขาสูญเสียธุรกิจและทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมด
“เราเป็นชาวต่างด้าว ถึงผมจะดูไม่เหมือนผู้อพยพในแบบที่ทุกคนเข้าใจสักเท่าไร ผมมาที่นี่ตอนอายุ 5 ขวบ เรานั่งเรือกันมาโดยที่ไม่มีอะไรที่แน่นอนเลย
“ในช่วงเวลานั้นออสเตรเลียต้องการคนต่างด้าวมาเพื่อเป็นแรงงาน พ่อของผมเป็นแรงงานที่ไม่มีทักษะ ดังนั้นเราต้องอยู่ในแคมป์ผู้อพยพรอจนกระทั่งเราได้บ้านอยู่”
ชีวิตของแอนจ์ในวัยเด็กจึงเรียกว่าไม่มีคำว่าสบาย และไม่ได้ใช้จ่ายวันเวลากับพ่อมากนักแม้ว่าจะอยากอยู่เล่นใกล้ๆ แต่พ่อก็ต้องทำงานตลอดเวลาในการเป็นช่างเฟอร์นิเจอร์
แต่จะมีสิ่งหนึ่งที่เชื่อมโยงระหว่างเขาและพ่อเข้าด้วยกัน สิ่งนั้นคือ ‘ฟุตบอล’
เจ้าหนูแอนจ์เกิดไม่ไกลจากสนามของเออีเค เอเธนส์ ทีมรักของพ่อ และนั่นทำให้เมื่อมีการตั้งทีมฟุตบอลในหมู่ชาวต่างด้าวด้วยกัน ซึ่งทีมท้องถิ่นของพวกเขาคือทีมกรีก (Greek) ที่เป็นชาวกรีกผู้อพยพมาด้วยกัน เมื่อถึงสุดสัปดาห์จะมีเกมการแข่งขัน พ่อลูกปอสเตโคกลูจะพากันไปนั่งดูฟุตบอลด้วยกัน
มันเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ แค่วันละไม่กี่ชั่วโมงในวันอาทิตย์ที่พ่อของเขาจะได้ปลดปล่อยตัวเองจากภาระหน้าที่ในการทำงาน ต่อจากนั้นเมื่อกลับถึงบ้านทั้งคู่จะอยู่จนดึกเพื่อรอดูฟุตบอลด้วยกัน ซึ่งส่วนมากจะเป็นฟุตบอลอังกฤษ แล้วต่อด้วยการนั่งดูไฮไลต์ในรายการ Match of the Day
มันเป็น Quality Time ที่พ่อลูกได้ใช้ร่วมกัน
และช่วงเวลานั้นกลายเป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้เจ้าหนูแอนจ์เข้าสู่วงการฟุตบอลด้วยตัวของเขาเองในเวลาต่อมา
ฝีเท้าของเขาอาจจะไม่ถึงกับโดดเด่นอะไรนักเมื่อเทียบกับดาวดังของวงการฟุตบอลออสเตรเลียในอดีต แต่อย่างน้อยก็ดีพอจะเล่นให้ทีมฟุตบอลอาชีพในขณะนั้นอย่างเซาท์ เมลเบิร์น เฮลลาส (ซึ่งก็เป็นทีมที่ก่อตั้งโดยชาวกรีกที่อพยพมาเมลเบิร์นก่อนหน้านี้) และเคยได้รับการเรียกตัวติดทีมชาติ 4 ครั้งด้วยกัน
“ผมเป็นพวกสายบู๊ แต่เป็นฟูลแบ็กที่ไม่ชอบเล่นเกมรับ” ปอสเตโคกลูบอกถึงสไตล์การเล่นของตัวเองเมื่อครั้งเป็นนักเตะอาชีพ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในปมในใจเพราะพ่อก็อยากเห็นเขาไปให้สุดทาง
เพียงเขาเองรู้ว่าฝีเท้าของเขามันไปได้แค่ไหน
วุ้นแปลภาษาของปุสกัส
ปอสเตโคกลูยอมรับว่าบางทีเขาอาจจะตีกรอบให้ตัวเองมากเกินไป แต่กระนั้นเขาก็เคยได้แชมป์กับเซาท์ เมลเบิร์น 2 สมัยในฐานะกัปตันทีม ซึ่งในเวลานั้นเขาไม่เข้าใจเหตุผลนักว่าทำไมเขาจึงได้รับปลอกแขนกัปตันทีมในวัยแค่ 22 ปี ก่อนจะเข้าใจมากขึ้นในเวลาต่อมาว่าอาจเป็นเพราะเขามี ‘ทักษะผู้นำ’ บางอย่างที่ในเวลานั้นตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัวมาก่อน
สิ่งเหล่านี้รวมกับความขี้สงสัยที่มักจะถามโค้ชทุกคนถึงเหตุผลในการตัดสินใจต่างๆ กลายเป็นต้นทุนที่สำคัญในการก้าวมาเป็นกุนซือด้วยตัวเองในเวลาต่อมา
โดยเฉพาะสิ่งที่ได้เรียนรู้จากโค้ชที่เคยเป็นโคตรนักเตะระดับตำนานของโลกอย่าง เฟเรนซ์ ปุสกัส ซึ่งเคยมาคุมทีมเซาท์ เมลเบิร์นอยู่พักหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่บังเอิญนัก เพราะปุสกัสซึ่งเป็นชาวฮังการีพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดีนัก
เขาต้องการใครสักคนที่จะถ่ายทอดคำพูดให้ และเป็นไอ้หนุ่มแอนจ์ที่สื่อสารด้วยได้ จึงทำหน้าที่เป็น ‘วุ้นแปลภาษา’ ให้ปุสกัสที่จะคอยถ่ายทอดว่าเขาต้องการให้นักเตะทำอะไรบ้างในสนาม สิ่งเหล่านั้นได้กลายเป็นแนวทางในการเล่นของทีม
และแน่นอนปอสเตโคกลูได้วิชาไปเต็มๆ
วิชาที่ดีที่สุดจากปุสกัสไม่ใช่ในเรื่องของแท็กติกการเล่น เพราะแม้เขาจะเป็นพระเอกในทีมชาติฮังการียุคมหัศจรรย์ ‘Magical Magyars’ แต่เป็นเรื่องของการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ทุกคน เพื่อให้ทุกคนไปให้ถึงในจุดเดียวกับที่เขาเคยทำได้
แบ็กซ้ายที่ถนัดเท้าขวาจึงเป็นส่วนสำคัญในทีมเซาท์ เมลเบิร์น ที่คว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 2 ภายใต้การนำของปุสกัสได้ในฤดูกาล 1990/91 (หลังจากเคยได้ครั้งแรกในปี 1984) ในแง่ของการเป็นศูนย์รวมจิตใจของทีม และถ่ายทอดปรัชญาการเล่นฟุตบอลเกมรุกบุกแหลก
มันนำไปสู่เส้นทางใหม่ของเขาในเวลาต่อมา
ปรัชญา ‘Angeball’
ความจริงปอสเตโคกลูควรจะได้มีโอกาสมาค้าแข้งในยุโรปแล้วเมื่อมีโอกาสจะได้ไปเล่นในกรีซ 2-3 ครั้ง แต่โชคร้ายเกิดบาดเจ็บเข่าขึ้นมาก่อน จนทำให้ทุกอย่างต้องจบลง
เขาต้องแขวนสตั๊ดด้วยวัยแค่ 27 ปีเท่านั้น
เพียงแต่จุดจบของเส้นทางหนึ่งก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางใหม่ ปอสเตโคกลูเดินหน้าสู่การเป็นกุนซืออย่างเต็มตัว “ผมอยากจะเป็นผู้จัดการทีมมาตลอด ผมรักเกมฟุตบอล ผมรักทุกอย่างของมันไม่ใช่เฉพาะแค่การลงไปเล่น”
ในวัยเด็กเขาเก็บสะสมฐานข้อมูลทุกอย่างจากหนังสือฟุตบอลทุกเล่ม ไม่ว่าจะเป็น Shoot นิตยสารฟุตบอล หรือ Roy of the Rovers คอมิกลูกหนังระดับตำนาน ที่ต่อให้หนังสือมันจะเก่าและมาถึงเมลเบิร์นล่าช้าแค่ไหน เขาก็จะนั่งอ่านมันแบบนั้นวนไป
ทีมรักของเขาก็เป็นทีมในอังกฤษอย่างลิเวอร์พูล “ผมเป็นแฟนลิเวอร์พูลตัวยง ผมรัก บิลล์ แชงคลีย์ ผมรักเรื่องราวของห้องบูทรูม (ห้องเก็บรองเท้าที่สตาฟฟ์ของลิเวอร์พูลจะหารือวางแผนทีมกัน)
อย่างไรก็ดี ปรัชญาฟุตบอลของเขามาจากพ่อด้วย พ่อของเขาชอบทีมที่เล่นฟุตบอลเกมรุกไม่ชอบทีมที่เล่นเกมรับ ดังนั้นปอสเตโคกลูจะได้ดูทีมอย่างลิเวอร์พูลหรือทีมชาติเนเธอร์แลนด์ในยุค 1970 ตั้งแต่วัยเด็ก และเมื่อโตมาโค้ชอย่างปุสกัสเองก็เน้นฟุตบอลเกมรุก ไม่คิดถึงเรื่องเกมรับเลย
สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ ถูกนำมาประยุกต์กับการทำงานในแบบของเขาเอง ฟุตบอลที่ให้ความสำคัญกับการเล่นเกมรุก การครองบอล และความกล้าหาญในการเล่น
งานแรกในชีวิตของเขาคือการคุมทีมเก่าเซาท์ เมลเบิร์น ทันทีหลังแขวนสตั๊ด และสามารถพาทีมคว้าแชมป์ได้อีก 2 สมัย ทำให้กลายเป็นคนที่พาทีมคว้าแชมป์ลีกได้ทั้งในฐานะนักฟุตบอลและโค้ชรวมกันถึง 4 สมัย
ก่อนที่จะกลายเป็นจอมพเนจรคนหนึ่งของวงการ
กุนซือจอมพเนจร
Resume ประวัติการทำงานของปอสเตโคกลูถือว่าน่าสนใจมาก
เพราะรายชื่อทีมที่เขาผ่านงานด้วยเยอะพอสมควร และดูไม่ค่อยจะมีจุดเชื่อมโยงกันมากเท่าไรนัก
จากการคุมทีมเซาท์ เมลเบิร์น (1996-2000) เขาได้โอกาสในการคุมทีมชาติออสเตรเลียในระดับยู-17 (2000-2005) และยู-20 (2000-2007) แล้วข้ามฟากไปทำงานในกรีซ (เสียที) กับสโมสรพานาไชกิ (2008) แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก จึงย้อนกลับมาทำงานในออสเตรเลียอีกครั้งกับ 3 สโมสร
เริ่มจากการคุมทีมสั้นๆ กับวิทเธิลซี ซีบราส์ (2009) สโมสรในเมลเบิร์น ก่อนจะไปบริสเบน โรว์ (2009-2012) พาทีมคว้าแชมป์เอลีกได้ 2 สมัยติดต่อกัน ก่อนจะอำลาทีมกลับมาบ้านคุมทีมเมลเบิร์น วิคตอรี (2012-2013)
แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นโค้ชทีมชาติออสเตรเลีย (2013-2017) เคยคุมทีมลงสนามในศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิลมาแล้ว และคว้าแชมป์เอเชียนคัพได้ในปี 2015 ก่อนจะอำลาทีมชาติในปี 2017 หลังจากที่พา ‘ซอคเกอรูส์’ เข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2018
ทีมต่อมาของเขาคือโยโกฮามา เอฟ มารินอส ที่แฟนบอลชาวไทยหลายคนน่าจะเริ่มจำได้ เพราะเป็นคนช่วยปั้น ธีราทร บุญมาทัน ให้กลายเป็นแบ็กระดับชั้นนำของเจลีก และพาทีมคว้าแชมป์เจลีกมาครองได้อีกด้วยในปี 2019 เป็นแชมป์สมัยแรกในรอบ 15 ปีของสโมสรเลยทีเดียว
เพียงแต่ในวงการฟุตบอลชื่อของเขาไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก และเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก เพราะเขาทำงานมานานกว่า 2 ทศวรรษในวงการฟุตบอล แต่ผลงานไม่เป็นที่ประจักษ์ในสายตาของชาวโลก
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาสงสัยในความสามารถของตัวเอง
ขอแค่มีโอกาสสักครั้งเถอะ!
ตัวเลือกสุดท้ายที่ดีที่สุด
แล้ววันนั้นก็มาถึงจริงๆ
มันเริ่มจากการติดต่อมาของกลาสโกว์ เซลติก ซึ่งต้องหาผู้จัดการทีมคนใหม่ในปี 2021 และความจริงทีมดังแดนวิสกี้ต้องการได้ตัว เอ็ดดี ฮาว มาเป็นผู้จัดการทีมมากกว่า เพียงแต่อดีตกุนซือบอร์นมัธไม่สนใจที่จะรับข้อเสนอในเวลานั้น
โอกาสมันเลยตกมาอยู่กับปอสเตโคกลูที่ยอมรับแบบตรงไปตรงมาว่าเขาเป็นตัวเลือกสุดท้าย เพราะขณะนั้นเซลติกกำลังจะเริ่มเข้าช่วงพรีซีซันแล้ว สโมสรต้องรีบตัดสินใจ ซึ่งก็เป็น ปีเตอร์ ลอว์เวลล์ อดีตซีอีโอของสโมสรที่บอกให้ เดอร์มอต เดสมอนด์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของสโมสรชาวไอริชไปเอาตัวกุนซือชาวออสซีคนนี้มาให้ได้! ทั้งๆ ที่ยังอ่านชื่อไม่ถูกด้วย
“ในตอนนั้นเรามีชื่ออยู่ 5 คน และแอนจ์ก็เป็นหนึ่งในนั้น” เดสมอนด์บอก “ผมไม่รู้หรอกว่าแอนจ์คือใคร ผมสะกดชื่อเขาไม่ได้ด้วย แต่ปีเตอร์ (ลอว์เวลล์) ยืนยันหนักแน่นว่าเราต้องใส่ชื่อเขาในลิสต์ เพราะประวัติการทำงานของเขาดีมากๆ”
สุดท้ายเมื่อฮาวปฏิเสธข้อเสนอในช่วงเที่ยงครึ่งของวันหนึ่ง เดสมอนด์ก็เลยนัดสัมภาษณ์กับปอสเตโคกลูดู เพียงแต่ก็มีการทำการบ้านด้วยการเช็กบทสัมภาษณ์ต่างๆ และพบว่าเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น เป็นผู้นำตัวจริงที่น่าสนใจมาก
นั่นกลายเป็นงานแรกของปอสเตโคกลูในยุโรปที่เริ่มทำให้คนรู้จักเขามากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่เซลติกคว้า ‘ดับเบิลแชมป์’ ในฤดูกาลแรก 2021/22 ต่อด้วย ‘เทรเบิลแชมป์’ ในฤดูกาลที่แล้ว
ก่อนที่เรื่องราวแบบเดียวกันจะเกิดขึ้นอีกครั้งในอีก 2 ปีต่อมา คราวนี้เป็นกับท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ที่ต้องการใครสักคนที่จะพาสโมสรกลับมาจากการหลงทางอีกครั้ง
“ผมคิดว่างานทั้งสองตำแหน่งถึงจะไม่มีคนเคยพูดมาก่อน แต่ผมเป็นตัวเลือกสุดท้ายของพวกเขา เซลติกและสเปอร์สถูกปฏิเสธจากคนอื่นมาก่อน และผมเป็นชื่อสุดท้ายในลิสต์พอดี
“แต่ไม่เป็นไร ผมยินดีรับมัน”
การพูดแบบตรงไปตรงมาจากใจแบบนี้ของปอสเตโคกลูกลายเป็นหนึ่งในเสน่ห์เฉพาะตัวของเขา วิธีการสื่อสารนี้ได้ผลกับเป็นอย่างดีแม้กระทั่งทีมอย่างสเปอร์สที่บ้านแตกสาแหรกขาดตั้งแต่ เมาริซิโอ โปเชตติโน จากทีมไปในปี 2019
เขารู้ว่าสเปอร์สต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ก็เลือกจะค่อยๆ ปรับความเข้าใจกับนักเตะในทีม เรียกขวัญและกำลังใจของทุกคนกลับมา พร้อมมอบแนวทางในการเล่นที่จะช่วยทำให้สเปอร์สกลับมาเป็นทีมที่ดีอีกครั้ง
สัญญาณบวกเริ่มเห็นได้ตั้งแต่ช่วงพรีซีซันที่สเปอร์สเล่นในสไตล์ใหม่ที่นอกจากจะมีการเล่นแบบ Inverted Fullback ตามสมัยนิยมแล้ว ยังเน้นการครองเกมได้อย่างน่าประทับใจ จนเริ่มมีการพูดถึง ‘Angeball’ ตั้งแต่ตอนนั้น
ก่อนที่จะนำพาสโมสรก้าวผ่านความสูญเสียครั้งใหญ่ในการตัดสินใจจากไปอยู่กับบาเยิร์น มิวนิกของ แฮร์รี เคน ฮีโร่ตลอดกาลของทีม
แต่แทนที่สเปอร์สจะทรุด ปรากฏว่าปอสเตโคกลูสามารถเปลี่ยนแปลงให้ทีมดีขึ้นไปอีกขั้น ทั้งเล่นอย่างมีสไตล์ ไปจนถึงการทำให้กองกลางจอมแกร่งอย่าง อีฟส์ บิสซูมา กลับมาเป็นหัวใจของทีม และทีเด็ดที่สุดคือการทำให้ เจมส์ แมดดิสัน เล่นเข้าคู่กับ ซนฮึงมิน ได้เป็นอย่างดี
ไม่นับการดูแลสภาพจิตใจของลูกทีมที่ประสบปัญหาอย่าง ริชาร์ลิซอน ด้วยการมองนักฟุตบอลแบบ ‘มนุษย์’ และพร้อมยื่นมือช่วยเหลือในทุกอย่างจนกองหน้าชาวบราซิลเองก็ดูจะเอาชนะปัญหาได้ และมักจะพูดให้แง่คิดดีๆ ให้ทุกคนได้ฟังเสมอในการแถลงข่าว จนกลายเป็นขวัญใจของผู้สื่อข่าวชาวอังกฤษไปแล้ว
ตอนนี้พรีเมียร์ลีกเริ่มมา 6 นัด อาจจะเร็วเกินไปถ้าจะบอกว่าสเปอร์สจะกลับมาเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ไล่บี้กับทีมระดับท็อปทีมอื่น
เพียงแต่อย่างน้อยการบุกไปไล่ตีเสมอคู่ปรับร่วมเมืองอย่างอาร์เซนอลได้ถึงเอมิเรตส์สเตเดียม ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายตามหลังถึง 2 ครั้ง 2 คราในเกม ก็น่าจะพอพูดได้เต็มปากมากขึ้นว่ากุนซือชาวออสเตรเลียเลือดกรีกคนนี้ที่ไม่มีใครคาดหวัง กำลังพาสเปอร์สกลับมาเป็นทีมฟุตบอลที่ดีและน่าเชียร์อีกครั้ง
และมันก็เป็นการพิสูจน์ให้โลกได้เห็น
เพชรไม่ว่าอยู่ที่ไหน หรือถูกค้นพบเมื่อไร มันก็ยังเป็นเพชรเสมอ
อ้างอิง:
- https://www.telegraph.co.uk/football/2023/09/16/tottenham-ange-postecoglou-background-making-of-australia/
- https://www.bbc.com/sport/football/66846293
- https://www.scotsman.com/sport/football/celtic/celtic-chief-dermot-desmond-couldnt-pronounce-ange-postecoglous-name-as-he-explains-identification-process-3646822