เกิดอะไรขึ้น:
สินเชื่อของกลุ่มธนาคารขยายตัว 0.6%MoM ในเดือนสิงหาคม ฟื้นตัวจากที่หดตัวลง 0.8%MoM ในเดือนกรกฎาคม การเติบโตของสินเชื่อในเดือนสิงหาคมได้แรงหนุนส่วนใหญ่จากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ สินเชื่อภาครัฐ และสินเชื่อรายย่อย โดยในเดือนสิงหาคม KTB และ BBL เป็นธนาคารที่มีการเติบโตของสินเชื่อแข็งแกร่งที่สุดที่ 1.6%MoM และ 1.4%MoM ตามลำดับ
ในขณะที่ BAY และ KBANK พบว่าสินเชื่อหดตัวลง MoM ในเดือนสิงหาคม เมื่อเทียบ YoY การเติบโตของสินเชื่ออยู่ในระดับต่ำที่ 0.6% การเติบโตของสินเชื่อ QTD อยู่ในระดับทรงตัว สินเชื่อ YTD ใน 8M66 หดตัวลง 0.1% แย่กว่าประมาณการปี 2566 ของ InnovestX Research ที่ 4% ค่อนข้างมาก แม้คาดว่าการเติบโตของสินเชื่อจะฟื้นตัว HoH ใน 2H66 (ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ BBL) แต่เล็งเห็นความเสี่ยง Downside ต่อประมาณการการเติบโตของสินเชื่อปี 2566 ที่ 4%
ด้านเงินฝากและเงินกู้ยืมที่หดตัวลง = อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อ/เงินฝากที่สูงขึ้น เงินฝากและเงินกู้ยืมของกลุ่มธนาคารหดตัวลง 0.4%MoM ในเดือนสิงหาคม ส่งผลให้อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อ/เงินฝากเพิ่มขึ้นสู่ 91% จาก 90% ในเดือนกรกฎาคมและมิถุนายน แนวโน้มเช่นนี้เป็นบวกต่อ NIM
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร (SETBANK) ปรับลง 2.67%MoM ขณะที่ SET Index ปรับลง 0.76%MoM
แนวโน้มกำไร 3Q66 และปี 2566:
ใน 3Q66 InnovestX Research คาดการณ์ในเบื้องต้นว่า กำไรของกลุ่มธนาคารจะเพิ่มขึ้น YoY (NIM ดีขึ้น) แต่จะอยู่ในระดับทรงตัว QoQ (NII ที่สูงขึ้นจะถูกหักล้างโดยกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยวิธี FVTPL ที่ลดลง) เมื่อเทียบ QoQ คาดว่า การเติบโตของสินเชื่อจะอยู่ในระดับต่ำ, NIM จะขยายตัวต่อเนื่องเข้าใกล้ระดับสูงสุด, Credit Cost จะอยู่ในระดับทรงตัว, Non-NII จะอ่อนแอลง เพราะกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยวิธี FVTPL ลดลง และรายได้ค่าธรรมเนียมทรงตัว และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะอยู่ในระดับทรงตัว
ทั้งนี้ คาดว่า BBL จะรายงานกำไร 3Q66 เติบโตแข็งแกร่งที่สุดทั้ง YoY และ QoQ เนื่องจาก Credit Cost จะลดลงมากที่สุด สำหรับปี 2566 คาดว่ากำไรของกลุ่มธนาคารจะเติบโต 20% โดยคาดว่าสินเชื่อจะเติบโต 4%, NIM จะขยายตัว 40 bps, Credit Cost จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 12 bps, Non-NII จะอยู่ในระดับทรงตัว (รายได้ค่าธรรมเนียมทรงตัว) และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะลดลงเล็กน้อย
นอกจากนี้ คาดว่ากำไรของกลุ่มธนาคารจะเติบโต 7% ในปี 2567 ชะลอตัวลงจาก 20% ในปี 2566 โดยในปี 2567 คาดว่า NIM จะขยายตัวเล็กน้อย, การเติบโตของสินเชื่อจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยสู่ 4%, Credit Cost จะลดลงเล็กน้อย, Non-NII จะอยู่ในระดับทรงตัว และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะลดลงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ยังคงเลือก BBL (เรตติ้ง Outperform ด้วยราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 210 บาท) และ KTB (เรตติ้ง Outperform ด้วยราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 25 บาท) เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร เพราะ NIM จะขยายตัวมากที่สุด, ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ และ Valuation น่าสนใจ
ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว, การขยายสินเชื่อได้ช้ากว่าคาด เนื่องจากความต้องการสินเชื่อชะลอตัวและการแข่งขันสูง และผลกระทบจาก Fintech