ซานฟรานซิสโกจะกลายเป็นเมืองนำร่องในสหรัฐฯ สำหรับการเริ่มให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับ หลังจากหน่วยงานกำกับของรัฐแคลิฟอร์เนียตัดสินใจอนุญาตให้ทำได้
California Public Utilities Commission (CPUC) หน่วยงานที่กำกับดูแลในด้านสาธารณูปโภค และบริการสาธารณะต่างๆ ได้อนุญาตให้บริษัทต่างๆ สามารถให้บริการแท็กซี่แบบไร้คนขับ หรือที่เรียกว่า Robotaxi Services แม้ว่าจะมีการคัดค้านจากหน่วยงานในเมืองซานฟรานซิสโกเองก็ตาม โดยมองว่าแท็กซี่ไร้คนขับยังไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามีความปลอดภัย รวมทั้งการต่อต้านจากสหภาพแรงงานที่มองว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะเข้ามาแย่งงานมนุษย์
ด้วยคะแนนเสียง 3 ต่อ 1 โดยคณะกรรมการของ CPUC ได้อนุญาตให้ Waymo และ Cruise ซึ่งเป็นบริษัทที่มี Alphabet และ General Motors เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ตามลำดับ สามารถที่จะเริ่มให้บริการได้ในเมืองซานฟรานซิสโกโดยไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่และเวลา
ในความเป็นจริงแล้วรถยนต์ไร้คนขับของทั้งสองบริษัทสามารถพบเห็นได้บ้างแล้วตามท้องถนน แต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่และเวลาที่สามารถให้บริการได้ ไม่ว่ารถยนต์ดังกล่าวจะมีผู้โดยสารอยู่หรือไม่ก็ตาม
ก่อนหน้านี้รถยนต์ไร้คนขับของ Waymo ได้ให้บริการมาบ้างแล้วในเมืองฟีนิกซ์และบริเวณโดยรอบ
Prashanthi Raman รองประธานด้าน Global Government Affairs ของ Cruise กล่าวว่า การตัดสินใจดังกล่าวถือเป็นหมุดหมายสำคัญบนหน้าประวัติศาสตร์ ซึ่งช่วยผลักดันให้บริษัทก้าวไปอยู่ในสถานะที่จะแข่งขันกับบริการขนส่งแบบดั้งเดิมได้ และท้าทายปัญหาเรื่องของความไม่ปลอดภัย และการเข้าไม่ถึงระบบขนส่งในปัจจุบัน
การตัดสินใจที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Google เริ่มพัฒนายานยนต์ไร้คนขับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อ 14 ปีก่อน ขณะที่ McKinsey ประเมินว่า การพัฒนายานยนต์ไร้คนขับใช้งบประมาณไปถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะการจำลองสถานการณ์ต่างๆ ที่ไม่คาดคิดและอยู่นอกเหนือจากข้อมูลที่มี
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานกำกับด้านการขนส่งของซานฟรานซิสโกและนายกเทศมนตรีของซานฟรานซิสโก พยายามเรียกร้องให้ CPUC ชะลอการอนุมัติดังกล่าวออกไปก่อน โดยให้เหตุผลว่าเทคโนโลยีดังกล่าวยังต้องใช้เวลาในการพิสูจน์เรื่องความปลอดภัย และวางระบบเพื่อจับตาการทำงานของยานยนต์ไร้คนขับ
อ้างอิง: