×

ทนายวิญญัติยื่นฟ้องชูวิทย์ ใส่ความเศรษฐาปมซื้อขายที่ดิน เรียกค่าเสียหาย 500 ล้านบาท ยันแสนสิริซื้อขายถูกต้อง

โดย THE STANDARD TEAM
07.08.2023
  • LOADING...

วันนี้ (7 สิงหาคม) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ได้รับมอบอำนาจจาก เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ยื่นฟ้อง ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และขอให้ลบข้อความวัตถุพยานที่เกี่ยวข้องกับการแสดงข้อมูลในครั้งนั้น

 

จากกรณีที่ชูวิทย์เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ และระบุว่าบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) โดยเศรษฐา ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ มีการซื้อขายที่ดินกับเอกชนและมีพฤติการณ์การหลีกเลี่ยงภาษี 

 

วิญญัติกล่าวว่า วันนี้ตนในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจากเศรษฐา ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงประชาชนรับทราบ ที่สำคัญยังมีตำแหน่งเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้มาดำเนินการฟ้องร้องต่อชูวิทย์

 

วันนี้ที่มาตนไม่ได้มีเจตนาจะกลั่นแกล้งคนป่วยหรือซ้ำเติมคนที่บอกว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานหรือใกล้ตาย ตนในฐานะเพื่อนมนุษย์ของชูวิทย์ขอยืนยันว่าไม่มีเรื่องส่วนตัวอะไร ขอให้กำลังใจชูวิทย์ต่อสู้กับโรคที่เผชิญอยู่ แต่ขอให้อย่าลืมว่าการกระทำใดๆ ไม่ว่าจะเป็นคนป่วยหรือเป็นคนที่ปกติ หากการกระทำเข้าข่ายผิดกฎหมายจะต้องถูกดำเนินการ

 

วิญญัติกล่าวต่อว่า เศรษฐาในฐานะผู้ที่ได้รับความเสียหายต้องมาฟ้องร้อง เป็นการทำไปเพื่อปกป้องสิทธิของตัวเอง ทั้งนี้ ชูวิทย์ได้กล่าวถ้อยคำชัดเจนและมีลักษณะใส่ความว่าเศรษฐาสมคบคิดกับผู้ขายเพื่อหลบเลี่ยงภาษี ทำให้รัฐเสียรายได้ไป 500 กว่าล้านบาท ส่วนนี้จึงเป็นมูลเหตุในการฟ้องชูวิทย์

 

ชูวิทย์อาจระบุว่าการแถลงข่าวขณะนั้นเป็นการใช้สิทธิประชาชนตรวจสอบเศรษฐาตามรัฐธรรมนูญ แต่ทั้งนี้ตนอยากบอกว่าการใช้สิทธิเสรีภาพต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย การที่ชูวิทย์แถลงข่าวในวันนั้นนอกจากใช้สื่อประกอบเป็นโครงสร้างแผนผังแสดงแล้ว ยังนำบุคคลที่ 3 จำนวนมากเข้ามาพาดพิง

 

สาระสำคัญของวันนั้นและวันนี้ที่ตนจะสื่อสารคือชูวิทย์ได้กล่าวข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน และเป็นข้อเท็จจริงที่จงใจปกปิดหรือจงใจทำให้คนเข้าใจผิดหรือไม่ นี่คือข้อกล่าวหาที่ตนในฐานะตัวแทนมายื่นฟ้อง เพราะเราเห็นว่าชูวิทย์มีเจตนาใส่ความให้เกิดความเสียหายอย่างชัดเจน

 

วิญญัติกล่าวว่า ข้อเท็จจริงที่เป็นความจริงที่ตนรับรู้และรับทราบ ซึ่งทางบริษัทแสนสิริได้ชี้แจงไปก่อนหน้านี้ คือการได้ที่ดินของผู้ถือหุ้นทั้ง 12 คน เป็นการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ไม่พร้อมกัน เป็นไปตามคำสั่งของกรมสรรพากร ซึ่งชูวิทย์ไม่ได้ระบุถึงในส่วนนี้ให้ชัดเจนว่าบริษัทแสนสิริซื้อที่ดินจากผู้ถือหุ้นที่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาไม่พร้อมกัน เพียงแต่ระบุว่ามีการโอนขายต่อให้บริษัทแสนสิริไม่พร้อมกัน

 

จากนั้นวิญญัติได้แสดงข้อมูลแผนผังภายหลังที่บริษัทเอกชนเลิกกิจการและโอนที่ดินให้กับผู้ถือหุ้นทั้ง 12 ราย ซึ่งมีรายละเอียดวันที่แต่ละรายไม่พร้อมกัน พร้อมกล่าวว่าผู้ถือหุ้นแต่ละคนเมื่อได้รับที่ดินมาจึงต้องมีการแยกชำระ แยกทำนิติกรรม เรื่องนี้ทีมพร้อมจะไปพิสูจน์ในศาล หรือให้เวลาชูวิทย์แก้ตัวได้

 

วิญญัติกล่าวว่า ตามโครงสร้างที่ตนได้เสนอนั้น คนที่มีหน้าที่เสียภาษีที่ดินคือผู้ขายที่ดิน เพราะมีการตกลงกันตามเอกเทศสัญญา ทั้งนี้ คนซื้อคนขายจะตกลงกันอย่างไรก็ได้ คนขายตัดสินใจทำวิธีนี้และแจ้งคนซื้อซึ่งเป็นบริษัทนายหน้าได้ดำเนินการ โดยทั้งหมดเสียภาษีในฐานะบุคคลธรรมดา

 

ส่วนกรณีที่ชูวิทย์ระบุถึงเส้นบางๆ ระหว่างจริยธรรม เรื่องการวางแผนภาษีกับการเลี่ยงภาษีที่ไม่เหมือนกัน ในเรื่องนี้ตนเห็นด้วยว่าต่าง แต่ก็ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การเลี่ยงภาษี แต่เป็นการวางแผนภาษี ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย ไม่ใช่การสมรู้ร่วมคิดกระทำการผิดกฎหมายเพื่อทำให้รัฐเสียประโยชน์

 

จากนั้นวิญญัติได้แสดงแผนภาพแบ่ง 2 ฝั่งระหว่างเศรษฐาและชูวิทย์เพื่อเปรียบเทียบกัน โดยระบุว่าชูวิทย์เคยถูกระงับสิทธิเลือกตั้ง เคยประกอบกิจการอาบอบนวด เคยรับโทษจำคุก เคยต้องโทษคำพิพากษาเกี่ยวกับการปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และอยู่ระหว่างการต้องห้ามไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ทางการเมือง แต่เศรษฐาไม่เคยติดยาเสพติด ไม่เคยเป็นบุคคลต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ไม่เคยถูกระงับการใช้สิทธิเลือกตั้ง และไม่เคยถูกตัดสินรับโทษจำคุก

 

วิญญัติกล่าวต่อว่า การที่ชูวิทย์ออกมากล่าวหาเศรษฐาก่อนถึงวันประชุมร่วมรัฐสภามีเจตนาอะไร ถ้ามีเจตนาตรวจสอบก็ว่าไป แต่การกระทำให้แคนดิเดตอันดับ 1 ของพรรคเพื่อไทยที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสมาชิกรัฐสภาเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกมองว่าเป็นคนโกงภาษี ไม่มีความเหมาะสมเป็นนายกฯ อันนี้คือเจตนาที่เราเห็นว่าชูวิทย์ไม่สามารถปฏิเสธได้ 

 

ในเรื่องนี้มีการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งด้วย เนื่องจากเข้าข่ายลักษณะการละเมิดขายข่าวให้แพร่หลาย ฝ่าฝืนต่อความเป็นจริง โดยมีการเรียกค่าเสียหาย 500 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้ตนได้ยื่นฟ้องแล้ว นัดไต่สวนวันที่ 9 ตุลาคมนี้ วันนั้นจะมีพยานบุคคล 7-8 ปาก และพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องมาแสดงต่อศาล 

 

วิญญัติกล่าวในช่วงท้ายว่า ได้รับข้อมูลว่ามีบริษัทหนึ่งที่มีลูกของชูวิทย์เป็นคณะกรรมการ มีสถานะเป็นผู้ถือหุ้น ชื่อบริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ตนขอให้ชูวิทย์ระวังการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ดีเพราะมีคนจับตาดูอยู่ บริษัทนี้ทำอะไรอย่างไร กำลังมีผู้จับตา

 

สุดท้ายวิญญัติกล่าวยืนยันว่า เศรษฐาไม่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการซื้อขายที่ดินใดๆ แม้ที่กล่าวอ้างมาว่าเศรษฐามีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่หรือตำแหน่งใดก็ตาม เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผู้บริหารทำนิติกรรมด้วยตัวเอง เป็นหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อทำ ผู้บริหารทำเพียงแค่พิจารณาหลักการเท่านั้น

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X