เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ.10/2566 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้อง นริศร ทองธิราช อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สกลนคร เขต 3 พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลย
กรณีสืบเนื่องมาจากจำเลยถูกกล่าวหาว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็น ส.ส. สกลนคร เขต 3 พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 10 กันยายน และวันที่ 11 กันยายน 2556 เวลากลางวัน ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา วาระที่ 2 ขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา เมื่อประธานในที่ประชุมร่วมรัฐสภาในขณะนั้นแจ้งให้สมาชิกลงมติร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
จำเลยได้นำบัตรประจำตัวซึ่งเป็นบัตรจริงของจำเลยและของสมาชิกรัฐสภารายอื่นอีกหลายใบอันเกินกว่าจำนวนบัตร มาใช้แสดงตนและลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจำเลยและสมาชิกรัฐสภาคนหนึ่งจะพึงมีและใช้ได้เพียงคนละ 1 ใบ คนละ 1 เสียง และแสดงตนและออกเสียงแทนสมาชิกรัฐสภารายอื่น
โดยเสียบบัตรแสดงตนและลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวหมุนเวียนใส่เข้าไปในเครื่องออกเสียงลงคะแนน และกดปุ่มเพื่อแสดงตนและลงมติคราวละหลายใบในการออกเสียงลงคะแนนในคราวเดียวกัน อันเป็นการใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนเกินกว่า 1 เสียงในการลงคะแนนแต่ละครั้ง
โดยการกระทำของจำเลยมีผลทำให้การออกเสียงลงคะแนนในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ทุจริตบิดเบือน ขัดต่อกฎหมายและข้อบังคับการประชุมรัฐสภาโดยชัดแจ้ง ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของปวงชนชาวไทย อันเป็นการกระทำการในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ และมิอาจถือได้ว่ามติของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาในกระบวนการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญดังกล่าว เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและข้อบังคับการประชุมรัฐสภาแต่อย่างใด อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาอันเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ปวงชนชาวไทยโดยส่วนรวม และเป็นการกระทำโดยทุจริต
ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4, 123/1, พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4, 172, 192, 198 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลฎีกาฯ พิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำคุกกระทงละ 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 16 เดือน
ทั้งนี้ พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำผิดใดๆ มาก่อน ก็ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการลงโทษ
จำเลยอุทธรณ์ องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานยืนยันประกอบคลิปวีดิทัศน์หมาย 5 รายการ โดยเป็นคลิปวีดิทัศน์ที่จำเลยรับว่าบุคคลในภาพเคลื่อนไหวคือจำเลย ซึ่งคลิปวีดิทัศน์นี้ศาลฎีกาฯ ส่งไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ผลการตรวจพิสูจน์ไม่พบร่องรอยการตัดต่อของคลิปวีดิทัศน์ ทั้งเสียงที่ปรากฏในคลิปวีดิทัศน์นั้นตรงกับข้อความที่บันทึกไว้ในรายงานการประชุมรัฐสภา ตามเอกสารพยานหลักฐานตามทางไต่สวนล้วนสอดคล้องเชื่อมโยงกัน เชื่อว่าคลิปวีดิทัศน์เป็นภาพเหตุการณ์ลงคะแนนระหว่างร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในมาตรา 9 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2556 ส่วนคลิปวีดิทัศน์อื่นเป็นเหตุการณ์ลงมติอภิปรายที่มีการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
ภาพของจำเลยที่นำบัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงคะแนน ซึ่งเป็นบัตรจริงของจำเลยและสมาชิกรายอื่นเสียบเข้าไปในเครื่องลงคะแนนหลายใบเพื่อลงคะแนนแทนสมาชิกอื่น
ดังนั้น การที่จำเลยนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงคะแนนซึ่งเป็นบัตรจริงของจำเลยและสมาชิกรายอื่น เสียบเข้าไปในเครื่องลงคะแนนหลายใบเพื่อลงคะแนนแทนสมาชิกอื่น ในการประชุมเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาในมาตรา 9 และมาตรา 10 เมื่อวันที่ 10 กันยายน และวันที่ 11 กันยายน 2556 อันเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 122 ซึ่งใช้บังคับขณะเกิดเหตุ ทั้งเป็นการขัดต่อหลักความซื่อสัตย์สุจริตที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ปฏิญาณตนไว้ตามมาตรา 123 และขัดต่อการออกเสียงลงคะแนนตามมาตรา 126 วรรคสาม
การกระทำของจำเลยจึงมีเจตนาทุจริตต่อหน้าที่ตามบทนิยามของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 เป็นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ปวงชนชาวไทย ฝ่ายนิติบัญญัติ สมาชิกรัฐสภาอื่น ประชาชน และผู้มีชื่ออื่น หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตอันเป็นความผิดตามฟ้อง อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน