เพลง Glory to Hong Kong หรือ ความรุ่งโรจน์แด่ฮ่องกง ซึ่งเป็นเพลงชาติอย่างไม่เป็นทางการของกลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงตั้งแต่ปี 2019 กลายเป็นประเด็นบนหน้าสื่ออีกครั้ง หลังมีรายงานว่า เพลงนี้ถูกลบออกจากแอปพลิเคชันสตรีมเพลงยอดนิยมอย่าง Spotify และ iTunes เมื่อวานนี้ (14 มิถุนายน) ก่อนที่ศาลจะมีคำตัดสินในสัปดาห์หน้าว่าจะแบนเพลงนี้ตามคำร้องของรัฐบาลฮ่องกงหรือไม่
ก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพลง Glory to Hong Kong ทะยานติดอันดับชาร์ตเพลงของ iTunes หลังรัฐบาลฮ่องกงประกาศความตั้งใจที่จะขึ้นบัญชีดำเพลงนี้ โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ
เพลง Glory to Hong Kong ซึ่งถูกแต่งด้วยภาษาจีนกวางตุ้งระหว่างการประท้วงในปี 2019 มีเนื้อร้องว่า “การปฏิวัติแห่งยุคสมัยของเรา ขอให้ประชาชนได้ปกครอง ภูมิใจ และเป็นอิสระ บัดนี้และตลอดไป ขอให้ฮ่องกงจงรุ่งโรจน์”
ด้านผู้แต่งเพลงนี้ยืนยันต่อสำนักข่าว BBC ว่า ไม่ได้ขอให้มีการลบเพลงออกจากแพลตฟอร์มสตรีมเพลงต่างๆ แต่อย่างใด
ขณะที่ Spotify ผู้ให้บริการสตรีมเพลงจากสวีเดน ชี้แจงในวันนี้ (15 มิถุนายน) ถึงกรณีการลบเพลง Glory to Hong Kong ออกจากแพลตฟอร์ม โดยระบุว่า เพลงนี้ถูกลบโดยผู้จัดจำหน่าย ซึ่งเป็นบริษัทคนกลางที่จัดการเรื่องลิขสิทธิ์เพลงสำหรับแพลตฟอร์ม
ที่ผ่านมาทางการฮ่องกงพยายามลบหรือปิดกั้นการเผยแพร่เพลงนี้ในช่องทางต่างๆ โดยประกาศห้ามเปิดเพลงนี้ในโรงเรียนตั้งแต่ปี 2020 และพยายามที่จะลบออกจากช่องทางออนไลน์ ซึ่งรัฐบาลฮ่องกงยังได้ยื่นคำร้องต่อ Google ขอให้ลบเพลงหรือจัดอันดับในผลการค้นหาให้ต่ำลง แต่ถูกปฏิเสธ ขณะที่ จอห์น ลี ผู้บริหารฮ่องกง มองว่าเพลงนี้ไม่สอดคล้องต่อผลประโยชน์ของชาติ
“เขตบริหารพิเศษฮ่องกงมีหน้าที่และพันธกรณีในการปกป้องความมั่นคงของชาติ และเราควรดำเนินการทั้งเชิงรุกและเชิงป้องกันด้วย” เขากล่าว
ด้าน ซาราห์ บรูกส์ หัวหน้าทีมแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล ประจำประเทศจีน กล่าวว่า เพลงชาติของกลุ่มผู้ประท้วงไม่ได้เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และมองว่า ความมั่นคงของชาติไม่สามารถถูกใช้เป็นข้ออ้างในการปฏิเสธสิทธิของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันได้
อย่างไรก็ตาม หากศาลฮ่องกงมีคำตัดสินให้เพลงนี้ถูกแบน ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการออกอากาศ การแสดง จำหน่าย หรือเผยแพร่เพลงลงในช่องทางต่างๆ รวมถึงอินเทอร์เน็ตด้วย อาจถูกดำเนินคดีภายใต้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ
ภาพ: Vernon Yuen / NurPhoto via Getty Images
อ้างอิง: