เกิดอะไรขึ้น:
ใน 1Q66 ผลประกอบการของบริษัทน้ำมันและก๊าซ (O&G) ไทยฟื้นตัว QoQ ในระดับที่แตกต่างกัน แม้ว่าราคาน้ำมันลดลง แต่ผู้ประกอบการต้นน้ำและครบวงจรยังคงมีผลประกอบการที่โดดเด่นกว่าผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมัน ธุรกิจ E&P แข็งแกร่งกว่ากลุ่มธุรกิจอื่นๆ โดยสามารถต้านทานราคาน้ำมันที่ผันผวนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาได้ ตามมาด้วยผู้ประกอบธุรกิจพลังงานครบวงจรอย่าง PTT ในขณะที่ผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากกำไร/ขาดทุนสต๊อกใน 1Q66 แม้ว่า GRM จะสูงขึ้นก็ตาม
อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการของบริษัทที่ประกอบธุรกิจ O&G จะอ่อนแอลง QoQ ใน 2Q66 เพราะราคาน้ำมันและค่าการกลั่นลดลง ราคาน้ำมันดิบเบรนต์โดยเฉลี่ยลดลง 3%QoQ สู่ 78.9 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลใน 2Q66 แม้ว่ากลุ่ม OPEC+ ได้ประกาศลดการผลิตแบบสมัครใจในเดือนเมษายน (มีผลตั้งแต่เดือนพฤษภาคม) ตลาดตอบรับความเคลื่อนไหวครั้งนี้เพียงช่วงสั้นๆ ทำให้กลุ่ม OPEC+ มีมติเห็นชอบในการประชุมเดือนมิถุนายน ให้ลดการผลิตลงอีกตั้งแต่เดือนกรกฎาคม โดยส่วนใหญ่เกิดจากซาอุดีอาระเบีย เหตุการณ์นี้จะส่งผลลบต่อผลประกอบการของ PTTEP ซึ่งปริมาณการขายในหลายโครงการจะลดลงอย่างต่อเนื่องใน 2Q66
ทั้งนี้ที่ราคาน้ำมันปัจจุบันและ Crude Premium ที่ลดลง คาดว่าผู้ประกอบการโรงกลั่นจะได้รับผลกระทบด้านลบจากขาดทุนสต๊อกราว 1.7 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อประกอบกับ GRM ที่ลดลง 51%QoQ สู่ 4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งประเมินได้ว่าค่าการกลั่นจะลดลง QoQ อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่สูงขึ้นจะช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการโรงกลั่นแบบครบวงจร ในขณะที่ผลประกอบการของผู้ประกอบการโรงกลั่นที่มีธุรกิจการตลาดน้ำมันจะได้รับการสนับสนุนจากค่าการตลาดที่เพิ่มขึ้น 16%QoQ โดยหลักๆ เกิดจากน้ำมันเบนซิน
ราคาน้ำมันดิบเบรนต์โดยเฉลี่ย YTD ปรับตัวลดลง 23%YoY สู่ 80.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ต่ำกว่าประมาณการปี 2566 ที่ 82 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลอยู่เล็กน้อย ทั้งนี้แม้ว่ากลุ่ม OPEC+ ลดการผลิตลง โดยขยายระยะเวลาการปรับลดการผลิตจากเดิมที่สิ้นสุดเดือนธันวาคม 2566 เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2567 และซาอุดีอาระเบียตัดสินใจลดการผลิตลงอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อต้นเดือนมิถุนายน
แต่ราคาน้ำมันล่วงหน้าปรับขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะอ่อนตัวลงกลับสู่ระดับก่อนการประชุมที่ต่ำกว่า 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลของตลาดเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกที่มีสาเหตุจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้น มาตรการห้ามนำเข้าพร้อมกับกำหนดเพดานราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันจากรัสเซียของ EU ดูเหมือนจะช่วยสนับสนุนราคาน้ำมันใน 1H66 ได้เพียงเล็กน้อย
จึงคาดว่าราคาน้ำมันจะปรับขึ้นใน 3Q66 จากการลดการผลิตลงอีกของซาอุดีอาระเบียและอัตราการกลั่นที่สูงขึ้นก่อนฤดูหนาว อุปทานที่ตึงตัวขึ้นจะทำให้ราคาน้ำมันมีความอ่อนไหวมากขึ้นต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการหยุดซ่อมบำรุง อย่างไรก็ตาม มองว่าฤดูเฮอริเคนจะมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่ออุปทานน้ำมันในปีนี้เมื่อพิจารณาจากการคาดการณ์ของ NOAA* ที่ระบุว่าฤดูเฮอริเคนแอตแลนติกในปี 2566 จะมีพายุใกล้เคียงค่าปกติ ซึ่งหมายความว่าฤดูพายุเฮอริเคนปีนี้จะมีพายุน้อยกว่าปีที่ผ่านๆ มา
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน (SETENERG) ปรับลดลง 3.28%MoM ขณะที่ราคาหุ้น BCP ปรับเพิ่มขึ้น 12.70%MoM และ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 0.07%MoM
กลยุทธ์การลงทุน:
ในกลุ่มธุรกิจ O&G เลือก BCP เป็นหุ้นเด่น เพราะบริษัทมีธุรกิจที่หลากหลายและแนวโน้มกำไรปี 2566 แข็งแกร่ง แม้ว่าจะลดลง 29% โดยมีสาเหตุมาจาก GRM และราคาก๊าซที่สูงผิดปกติในปี 2565 การกระจายธุรกิจจะช่วยลดผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ผันผวน แผนการเข้าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน ESSO จะเพิ่มมูลค่าให้กับ BCP เมื่อพิจารณาจากส่วนแบ่งกำไรจาก ESSO และ Synergy ในการดำเนินงานและการตลาด
นอกเหนือจากพัฒนาการเชิงบวกดังกล่าวและ GRM ที่แข็งแกร่งในปี 2566 แล้ว ยังชอบ BCP ที่มีการลงทุนในธุรกิจ E&P ในนอร์เวย์ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันและก๊าซที่สำคัญในยุโรปเพื่อทดแทนอุปทานจากรัสเซีย
ด้านราคาหุ้น BCP ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 13%YTD Outperform หุ้นโรงกลั่นอื่นๆ (ลดลง 17-30%) และ SETENERG (ลดลง 14%) แต่ Valuation ยังอยู่ในระดับต่ำที่ PBV (ปี 2566) 0.7 เท่า หรือระดับ -1SD ทั้งนี้หุ้น BCP มีเรตติ้ง Outperform โดยประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่ 44 บาทต่อหุ้น
นอกจากนี้ OR ก็น่าจะได้รับประโยชน์จากค่าการตลาดที่สูงขึ้น (ส่วนใหญ่เป็นน้ำมันเบนซิน) โดยได้รับการสนับสนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จึงเชื่อว่าทั้ง BCP และ OR จะได้รับแรงกดดันจากนโยบายควบคุมราคาขายปลีกน้ำมันของภาครัฐน้อยกว่าปีก่อนเมื่อพิจารณาจากสภาวะราคาน้ำมันในปัจจุบัน
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ 1. ราคาน้ำมัน GRM และอัตราแลกเปลี่ยนผันผวน, 2. การเปลี่ยนแปลงความชอบที่ผู้บริโภคมีต่อเชื้อเพลิงฟอสซิล และ 3. การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านกฎระเบียบเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงภาษีคาร์บอนและคาร์บอนเครดิต