วันนี้ (19 พฤษภาคม) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (สำนักงาน กกต.) รายงานผลเลือกตั้งครบ 400 เขต ผลปรากฏว่า
พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) รวมกันเหลือ 24 เสียง จาก 25 เสียง แบ่งเป็น ส.ส. แบบแบ่งเขต 22 คน และ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ 2 คน (จากเดิม 3 คน) ทำให้ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรค ผู้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในบัญชีคนเดียวของพรรค ขาดคุณสมบัติเป็นนายกฯ ได้ตามรัฐธรรมนูญ
ซึ่งระบุไว้ว่า บุคคลที่จะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ ให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภาพิจารณา ต้องมีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 159 คือ ต้องมาจากพรรคการเมืองที่มี ส.ส. ไม่น้อยกว่า 5% ของสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสภา หรือมี ส.ส. มากกว่า 25 คนขึ้นไป
ส่งผลให้แคนดิเดตนายกฯ ในบัญชีของพรรคต่างๆ ที่ยังมีสิทธิได้รับการเสนอชื่อ มีทั้งหมด 7 คน จาก 5 พรรคการเมือง ได้แก่
พรรคก้าวไกล 1 คน
พรรคเพื่อไทย 3 คน
พรรคภูมิใจไทย 1 คน
พรรคพลังประชารัฐ 1 คน
พรรครวมไทยสร้างชาติ 1 คน
ทั้งนี้ ในส่วน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ 2 คน ของพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วยจุรินทร์ ลำดับที่ 1 และ ชวน หลีกภัย อดีตประธานสภา คือลำดับที่ 2 สำหรับ 1 เสียงที่หายไปของพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้จำนวน ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เพิ่ม 1 คน ภายใต้สูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์แบบหารด้วย 100 ส่งผลให้ สันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 2 ได้เข้าไปนั่งในสภา