End Game: เกมที่แพ้ไม่ได้ในการเทกโอเวอร์แมนฯ ยูไนเต็ด

การเทกโอเวอร์สโมสรยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายแล้ว โดยที่อาจมีจุดพลิกผันที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น

เมื่อกาตาร์ ซึ่งเดิมเหมือนจะถอดใจไปแล้วจากการแข่งขัน ตัดสินใจยื่นข้อเสนอครั้งใหม่ให้แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อหวังจะปาดหน้า เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีชาวอังกฤษ ที่เดิมคิดว่าเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะไปแล้ว

Take it or leave it? คือคำถามจากฝั่งกาตาร์ที่ฝากถึง Raine Group ในฐานะตัวแทนในการดำเนินการเจรจาแทนครอบครัวเกลเซอร์

แล้วฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ด จะตอบรับข้อเสนอไหน?

ย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีความเคลื่อนไหวว่าฝ่ายที่น่าจะเข้ามาเทกโอเวอร์แมนฯ ยูไนเต็ด ได้คือแรตคลิฟฟ์ (และ Ineos บริษัทยักษ์ใหญ่ของเขา) จะเป็นผู้ชนะในการประมูล เพื่อขอเทกโอเวอร์สโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของอังกฤษ

โดยข้อเสนอจากแรตคลิฟฟ์นั้นมีมูลค่าที่มากกว่าข้อเสนอจากทางด้านกาตาร์ โดยตัวเลขนั้นคาดว่าอาจจะจบที่ใกล้กับ 6 พันล้านปอนด์ ซึ่งเป็นมูลค่าที่ใกล้เคียงกับที่ฝั่งครอบครัวเกลเซอร์ ในฐานะเจ้าของสโมสร ต้องการ

นอกจากนี้ยังมีเงื่อนไขที่มีความสำคัญด้วย อย่างการที่จะมอบหุ้นให้ โจเอล และ อัฟราม เกลเซอร์ สองพี่น้องเกลเซอร์ที่มีส่วนในการบริหารสโมสรตลอดช่วงที่ผ่านมา มีส่วนอยู่ที่ 20%

ข้อเสนอนี้ถือว่าโดนใจทั้งโจเอลและอัฟราม เพราะอีกใจพวกเขายังคงต้องการที่จะอยู่กับสโมสรต่อไป

อย่างไรก็ดี ข้อเสนอจากกาตาร์ที่เข้ามาใหม่นั้นมีความน่าสนใจ โดย ชีค ยาสซิม บิน ฮาหมัด อัล-ธานี ได้ยื่นข้อเสนอที่เชื่อกันว่าเพิ่มขึ้นจากข้อเสนอครั้งก่อนหน้านี้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเชื่อว่าข้อเสนอครั้งสุดท้ายนี้มาจากความต้องการที่จะลองอีกสักครั้ง ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ลองยื่นข้อเสนอ เพื่อครอบครองสโมสรฟุตบอลในระดับเพชรยอดมงกุฎของวงการลูกหนัง

ในรายละเอียดของข้อเสนอนั้นมีจุดที่สำคัญ ได้แก่

เป็นการซื้อหุ้นสโมสรทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์
ไม่มีการกู้ยืมเงินจากธนาคารที่ไหนที่จะทำให้สโมสรต้องเป็นหนี้
ล้างหนี้ให้ทั้งหมด (ซึ่งมีประมาณ 1 พันล้านปอนด์)
พร้อมทุ่มงบประมาณ 2 พันล้านปอนด์ เพื่อปรับปรุงสนามแข่งขันและศูนย์ฝึกให้กลับมาอยู่ในระดับโลกอีกครั้ง
ลงทุนในทีมหญิงของสโมสร
ลงทุนในทีมทุกระดับของสโมสร
ต้องการทำทีมเพื่อคว้าแชมป์ทุกรายการ

เรียกได้ว่าเป็นข้อเสนอที่ทำให้แฟนบอล Red Army ทั่วโลกที่ได้รู้ข่าวมีปฏิกิริยาตอบรับไปในทางที่ดี และอยากเห็นสโมสรตกเป็นของกาตาร์ทันที เพราะข้อเสนอนั้นดูน่าตื่นเต้นกว่า

และสิ่งสำคัญที่สุดคือ เป็นข้อเสนอที่ดีต่อสโมสรมากที่สุด ซึ่งรวมถึงเรื่องของการล้างหนี้ให้และการลงทุนกับสนามและศูนย์ฝึกใหม่ 

และแน่นอน ทุนสำหรับการซื้อผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเพื่อลุ้นความสำเร็จในอนาคต

อย่างไรก็ดี ปัญหาอยู่ที่ตัวเลขของข้อเสนอนั้นอยู่ที่ 5.5 พันล้านปอนด์ ซึ่งจะน้อยกว่าข้อเสนอจากฝั่งของแรตคลิฟฟ์ที่เชื่อว่าใกล้ 6 พันล้านปอนด์

แต่ความแตกต่างอยู่ที่ข้อเสนอจากมหาเศรษฐีชาวอังกฤษนั้น เขาจะเข้ามาถือหุ้นสโมสรในกลุ่ม B-Shares ในสัดส่วน 50% และให้เกลเซอร์ถือหุ้นอีกราว 20% ส่วนอีก 30% คือหุ้นของสโมสรที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ซึ่งจะเป็นหุ้น A-Shares โดยที่แรตคลิฟฟ์ยังมีแผนที่จะซื้อหุ้นทั้งหมดภายในระยะเวลา 2-4 ปีข้างหน้าด้วย

โดยที่แรตคลิฟฟ์ ซึ่งออกตัวว่าเป็นแฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด จะเป็นผู้ที่กุมอำนาจในการบริหารและการตัดสินใจ

แล้วแบบนี้การเจรจาเทกโอเวอร์จะจบลงแบบไหน?

เรื่องนี้ยังไม่มีใครทราบ เพราะขึ้นอยู่กับ Raine Group และครอบครัวเกลเซอร์ ว่าต้องการรับข้อเสนอจากฝั่งใดมากกว่า ซึ่งก็มีความแตกต่างในรายละเอียด โดยเฉพาะเรื่องของการเข้ามาเทกโอเวอร์แบบเบ็ดเสร็จตามข้อเสนอของกาตาร์ หรือเทกโอเวอร์บางส่วนโดยที่เจ้าของเดิมยังมีหุ้นอยู่อย่างของแรตคลิฟฟ์

กระบวนการพูดคุยของแต่ละฝั่งเชื่อว่าจะต้องใช้ระยะเวลาอีกพอสมควร โดยหลังจากนี้ทีมตัวแทนของแมนฯ ยูไนเต็ด จะต้องหารือกับทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับรายละเอียดข้อตกลงการซื้อ-ขายอีกครั้ง โดยคาดว่าจะกินเวลาหลายสัปดาห์ โดยไม่นับกระบวนการในการตรวจสอบคุณสมบัติการเป็นเจ้าของสโมสรที่ต้องใช้ระยะเวลาอีกพักใหญ่

นั่นทำให้ยังไม่แน่ชัดว่า ต่อให้เข้าฤดูกาลหน้า 2023/24 แมนฯ ยูไนเต็ด จะมีเจ้าของสโมสรใหม่หรือไม่

เพราะปัญหาใหญ่ที่สุดยังคงอยู่ที่ไม่มีใครคาดเดาความคิดของฝ่ายครอบครัวเกลเซอร์ได้ว่าต้องการให้เรื่องนี้จบอย่างไร

ระหว่างการขายให้แรตคลิฟฟ์ โดยที่ 2 จาก 6 พี่น้องเกลเซอร์ คือ โจเอลและอัฟราม ยังถือหุ้นอยู่บางส่วน

หรือขายสโมสรทั้งหมดให้กับกาตาร์

หรือจะไม่ขายให้ใครเลย?

เป็น End Game ที่ยังต้องติดตามกันต่อไป เพราะจะมีผลต่ออนาคตของแมนฯ ยูไนเต็ด ที่หวังจะกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลอีกครั้งอย่างแน่นอน

อ้างอิง: