วันนี้ (11 พฤษภาคม) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ให้สัมภาษณ์หลังให้ถ้อยคำต่อ กกต. กรณีที่ เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ปราศรัยแจกเงินดิจิทัล
วันนี้ กกต. ได้เชิญมาให้ถ้อยคำเพื่อยืนยันเอกสารหลักฐาน หลังพบข้อมูลอาจฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) 2561 มาตรา 73 (1) (5) ที่ระบุถึงการแจกทรัพย์สินหรือสิ่งของอื่นใดที่มีมูลค่าเป็นเงิน และเป็นนโยบายแฝงจูงใจให้คนมาเลือกตนเอง ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องสำคัญและอาจจะกระทบต่อเศรษฐกิจของชาติในอนาคต เบื้องต้น กกต. แจ้งว่าประเด็นดังกล่าวเป็นประเด็นเร่งด่วนที่สำคัญ จึงเรียกให้ตนมาให้ถ้อยคำเพิ่มเติม คาดว่าจะเข้าสู่ที่ประชุม กกต. ทั้งหมด
โดยส่วนตัวคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ สำหรับเอกสารที่นำมายื่น กกต. เพิ่มเติม มีทั้งเอกสารมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่อนุมัติงบประมาณปี 2567 ประมาณ 3.33 ล้านล้านบาท และเงินจำนวนนี้คาดว่าจะมีงบประมาณพอให้รัฐบาลใหม่ใช้เพียง 2 แสนล้านบาท จึงเป็นที่น่าสังเกตว่านโยบายของพรรคเพื่อไทย 70 นโยบาย ซึ่งต้องใช้งบประมาณ 3 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะนโยบายจ่ายเงินดิจิทัลที่ต้องใช้งบประมาณ 5.6 แสนล้านบาทนั้นไม่สามารถทำได้
ศรีสุวรรณกล่าวต่อไปว่า ขณะที่พรรคเพื่อไทยชี้แจงรายละเอียดกับ กกต. ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ยังไม่มีความชัดเจนในการใช้งบประมาณดังกล่าว และไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะสามารถทำได้จริงหรือไม่ เนื่องจากไม่มีรายละเอียดชัดเจน นอกจากนี้ กรณีที่พรรคเพื่อไทยออกมาบอกว่าจะมีเม็ดเงินจากผลคูณทางเศรษฐกิจอีก 1 แสนล้านบาท แต่ข้อเท็จจริงแล้วนโยบายแจกเงินของพรรคเพื่อไทยต้องใช้งบประมาณทันที 5.6 แสนล้านบาท ซึ่งมองว่าจะนำงบประมาณจากอนาคตมาใช้นั้นเป็นไปไม่ได้ ตนจึงมองว่านโยบายจ่ายเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทยเป็นนโยบายประชานิยมสุดขั้วเกินไป ซึ่งจะเป็นปัญหากระทบต่อเศรษฐกิจของชาติ จึงอยากให้ กกต. ออกคำวินิจฉัยโดยเร็ว แม้ว่ากรอบระยะเวลาอาจจะไม่ทันก่อนการเลือกตั้ง
ศรีสุวรรณยังให้สัมภาษณ์กรณีที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถือครองหุ้นสื่อ ITV ว่า ตนได้ข้อมูลหลักฐานชิ้นเดียวกันกับที่ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้มายื่นต่อ กกต. ก่อนหน้านี้แล้ว โดยเรื่องนี้มีกรณีศึกษาจาก ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดนครนายก อยู่แล้ว แต่ตอนนี้ กกต. กลับเงียบเฉยแล้วไม่ยอมดำเนินการ ซึ่งหากการเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว ต้องยื่นคำร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญอย่างเดียว
ส่วนกรณีที่พิธาออกมาเปิดเผยพร้อมยืนยันว่าได้แจ้งข้อมูลการถือหุ้น ITV ต่อ ป.ป.ช. แล้วนั้น ศรีสุวรรณมองว่าเรื่องดังกล่าวก็ยังไม่ชัดเจน แม้ว่าเลขาธิการ ป.ป.ช. จะออกมาแถลง เนื่องจากพบว่าพยานเอกสารหลักฐานเดิมของพิธาที่ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อ ป.ป.ช. นั้นไม่ได้ระบุข้อมูลการถือหุ้น ITV ขณะที่ ป.ป.ช. ก็ไม่เคยเปิดเผยหลักฐานต่อสื่อมวลชนและสาธารณชนเลย มีแต่คำพูดลอยๆ ของเลขาธิการ ป.ป.ช. ส่วนตัวมองว่าเชื่อถือไม่ได้
“การถือหุ้นของพิธาจะไม่ซ้ำรอยกับธนาธร เนื่องจากการถือหุ้นของธนาธรเป็นสื่อประเภทสิ่งพิมพ์ ส่วน ITV เป็นสื่อโทรทัศน์ มีความแตกต่างกัน ส่วนกรณีที่ ITV ถูกคำสั่งปิดไปแล้วเมื่อปี 2550 จะถือว่ายังเป็นหุ้นสื่อหรือไม่นั้น ในเมื่อไม่ยื่นการปิดบริษัทและยังมีการประชุมของผู้ถือหุ้นอยู่ และบริษัทก็ยังไปลงทุนกิจการที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน จะอ้างว่าปิดไปแล้วก็คงไม่ใช่ มองว่าเรื่องนี้จะต้องถึงศาลรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอนเพราะว่าเป็นเผือกร้อน และบอกว่า กกต. ก็จะไม่วินิจฉัยเอง” ศรีสุวรรณกล่าว
ศรีสุวรรณกล่าวด้วยว่า เอกสารที่จะมายื่นต่อ กกต. มีความแตกต่างจากเรืองไกร ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามมาตรา 1559 พร้อมยกตัวอย่างว่า ตนเองก็เคยเป็นผู้ติดตามมรดกของบิดา ถ้าไม่ระบุว่าจะมอบมรดกให้กับใคร หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่จะแปลงชื่อนั้นเป็นของตนเองซึ่งเป็นลูกทันที นั่นหมายความว่าตนเองก็สามารถนำทรัพย์สินไปทำนิติกรรมใดๆ ก็ได้ ดังนั้น เอกสารที่ปรากฏในชื่อของพิธาไม่ได้มีวงเล็บว่า ในฐานะผู้ติดตามมรดก พิธาก็สามารถดำเนินการใดๆ กับหุ้นนี้ได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารหรือคำสั่งของศาลในเรื่องของการตั้งผู้ติดตามมรดก ดังนั้น คำพูดที่พิธาอธิบายมานั้นอาจไม่ใช่ข้อเท็จจริงก็ได้
ส่วนกรณีที่มีผู้ร้องเรียนกรณีการถือหุ้นของพิธา เป็นการสกัดขาพรรคก้าวไกลหรือไม่ ศรีสุวรรณกล่าวว่า มันจะเป็นเกมสกัดขาได้อย่างไร เพราะทุกการเลือกตั้งก็จะมีเรื่องร้องเรียนว่าผู้สมัครหรือพรรคการเมืองฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา หากจะมองว่าเป็นเรื่องการสกัดขาก็แล้วแต่คนที่จะมอง เนื่องจากการร้องดังกล่าวเป็นเรื่องปกติ ผู้สมัคร ส.ส. หรือคนที่จะเข้ามาเป็นนักการเมืองจะต้องเคลียร์ตนเองตั้งแต่เริ่มต้น คิดจะเป็นนักการเมืองแล้ว ไม่ควรปล่อยให้คนอื่นมาจับผิดแบบนี้