การประกาศผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ จะเริ่มต้นตั้งแต่สัปดาห์นี้ โดยนักลงทุนกำลังจับตามองว่าบริษัทต่างๆ จะรักษาระดับกำไรได้มากน้อยเพียงใด หลังมีการคาดการณ์ว่ากำไรจะถดถอยลงเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะการปรับตัวลงกว่า 20% ของหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ที่หลายฝ่ายคาดว่าการประกาศงบอาจทำให้การพุ่งขึ้นของราคาหุ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมาต้องยุติลง
นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทในดัชนี S&P 500 จะรายงานผลประกอบการรายไตรมาสที่ลดลงติดต่อกันเป็นครั้งที่สอง ผลกำไรในไตรมาสแรกของปี 2023 คาดว่าจะลดลง 6.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นั่นถือเป็นการลดลงของกำไรที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2020 เมื่อการระบาดของโควิดเริ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้กำไรในเวลานั้นลดลง 32%
ขณะเดียวกันภาคธุรกิจต้องต่อสู้กับความท้าทายมากมาย ทั้งอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงความกังวลของสถานะระบบการเงินหลังจากเหตุการณ์การล่มสลายของ Silicon Valley Bank ทำให้แต่ละบริษัทต่างมีมุมมองต่อทิศทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน
ล่าสุด รายงานการจ้างงานประจำเดือนมีนาคมที่ประกาศเมื่อวันศุกร์ (7 เมษายน) แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังคงสร้างงานอย่างต่อเนื่องในเดือนมีนาคม ทำให้บรรดานักลงทุนคาดว่า Fed อาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนพฤษภาคม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- หุ้นกลุ่มพลังงาน (โรงกลั่น) – แนวโน้มดีขึ้นหลัง 4Q65 อ่อนแอ
- 10 เรื่องต้องรู้ หุ้น ‘SAF’ ซึ่งเป็น IPO ที่ประเดิมเข้าเทรดตัวแรกในปีนี้
- 5 อันดับตลาดหุ้นให้รีเทิร์นมากสุดนับแต่เริ่มปี 2023 รับ ‘January Effect’
‘หุ้นเทค’ ไปต่อหรือพอแค่นี้?
รายงานผลประกอบการของหุ้นเทคจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อตลาดหุ้นโดยรวม หลังจากที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 7% ในไตรมาสแรก ส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดยกลุ่มเทคยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่ราย นักวิเคราะห์ประเมินว่ารายได้บริษัทเทคของสหรัฐฯ ลดลง 15% ในช่วงสามเดือนแรกของปีนี้ โดยบริษัทเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้นและอุปสงค์ที่ชะลอตัว
ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมเทคเต็มไปด้วยข่าวเชิงลบ ทั้งการเลิกจ้างในวงกว้างของอุตสาหกรรมที่ส่งสัญญาณถึงการชะลอตัว หุ้น Tesla ปรับตัวลงในเดือนนี้หลังจากที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามีกำไรเพียงเล็กน้อยในการส่งมอบรถยนต์ในไตรมาสที่แล้ว สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน
นอกจากนี้ หุ้นเทคยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพง ดัชนี Nasdaq 100 ซื้อขายที่ P/E 24 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 19 เท่า ขณะที่ดัชนี S&P 500 ซื้อขายที่ระดับ P/E 18 เท่า ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg
วิกฤตแบงก์ล้มยังเสี่ยงอยู่หรือไม่ ผ่านเลนส์งบหุ้นธนาคาร
ในขณะที่หุ้นเทคมีผลตอบแทนที่ดีในเวลาที่ผ่านมา แต่หุ้นธนาคารนั้นอยู่ในทางตรงกันข้าม ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนจับตามองคือผลกระทบจากวิกฤตแบงก์ล้มในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จะส่งผลกระทบต่อหุ้นธนาคารยักษ์ใหญ่ เช่น JPMorgan Chase, Citigroup, และ Wells Fargo มากน้อยเพียงใด ซึ่งผลประกอบการของธนาคารเหล่านี้จะถูกเปิดเผยในวันที่ 14 เมษายนนี้
Ron Saba ผู้จัดการพอร์ตอาวุโสของ Horizon Investments กล่าวว่า “จากสิ่งที่เรารู้ในตอนนี้ และข้อเท็จจริงที่ว่าวิกฤตในธนาคารเมื่อเร็วๆ นี้เกิดจากปัญหาสภาพคล่อง ไม่ใช่ปัญหาด้านเครดิต เราไม่คิดว่าผลกระทบดังกล่าวจะส่งผลต่อธนาคารขนาดใหญ่”
นอกจากนี้ นักลงทุนจำนวนมากกำลังจับตามองว่า ผู้บริหารธนาคารจะมีแผนควบคุมการปล่อยสินเชื่อหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลต่อแนวโน้มการเติบโตในอุตสาหกรรมต่างๆ และอาจส่งผลต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยของ Fed
ข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg Intelligence คาดการณ์ว่าหุ้นกลุ่มธนาคารในสหรัฐฯ จะมีกำไรเพิ่มขึ้น 4.2% ไตรมาสแรก ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องจับตามากที่สุดคือสภาวะทางการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น ตามมาด้วยการชะลอตัวของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในอนาคต
อ้างอิง: