วานนี้ (29 มีนาคม) บริเวณลานหน้าโลตัส รังสิต จังหวัดปทุมธานี พรรคเพื่อไทย นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย, จาตุรนต์ ฉายแสง กรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย, จิรายุ ห่วงทรัพย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ได้จัดเวทีปราศรัย ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’
นพ.ชลน่านได้เปิดปราศรัยเป็นคนแรก กล่าวว่า หากการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่สามารถเอาอำนาจ 3 ป. ออกไปจากการเมืองไทยได้ สิ่งที่ประชาชนต้องทนทุกข์ทรมานมากว่า 8 ปี และสิ่งที่ประชาชนคาดหวังว่าจะมีสิ่งที่ดี มีโอกาสที่ดี จะสูญสลายไป ดังนั้นต้องเข้าคูหากาพรรคเพื่อไทยเท่านั้น และเป้าหมายการแลนด์สไลด์ 250 เสียงนั้นไม่เพียงพอ เพราะฝ่ายรัฐบาลในปัจจุบันจะตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยผ่านการโหวตของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจะต้องแลนด์สไลด์ด้วยเสียง 310 เสียงขึ้นไปเท่านั้น
นพ.ชลน่านยังกล่าวอีกว่า ตัวเลข 310 เสียงนั้นจะเป็นตัวชี้ให้ ส.ว. กลับมาเคารพเสียงของประชาชนในการเลือกนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย และหาก ส.ว. ยังไม่มีจิตสำนึกที่จะฟังประชาชน พรรคเพื่อไทยก็หวังว่าพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยจะมาจับมือกับพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาล
ด้านแพทองธารกล่าวว่า ตั้งแต่พรรคไทยรักไทยมาจนถึงพรรคเพื่อไทย ได้มีประวัติศาสตร์ร่วมกับชาวปทุมธานีคือในสมัยคุณพ่อ ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ทำโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โดยเลือกให้จังหวัดปทุมธานีเป็นหนึ่งในจังหวัดนำร่อง และในสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้เลือกให้จังหวัดปทุมธานีเป็นจังหวัดนำร่องในการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท พรรคเพื่อไทยทราบปัญหาของชาวปทุมธานีมาโดยตลอด และมีนโยบายใหญ่ๆ ที่พร้อมทำให้คนทั้งประเทศกลับมากินดีอยู่ดีอีกครั้ง เช่น เติมเงินให้ครอบครัวที่มีรายได้ขั้นต่ำให้ 20,000 บาทต่อเดือนทันที และค่าแรง 600 บาท ภายในปี 2570 เป็นต้น
แพทองธารยังกล่าวถึงประเด็นเรื่องยาเสพติดอีกว่า ในปัจจุบันยาเสพติดหาซื้อได้ง่ายและมีราคาถูก พรรคเพื่อไทยจะนำ 3 ป. เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานี้ คือ
- ปราบ พรรคเพื่อไทยจะปราบผู้ขายให้หมดไป
- เปิด พรรคเพื่อไทยจะเปิดคุยกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างจริงจังในการกำจัดแหล่งผลิตให้หมดไป
- เปลี่ยน โดยจะเปลี่ยนผู้เสพให้เป็นผู้ป่วย และดำเนินการรักษาพวกเขาให้กลับมามีชีวิตที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ สู่อ้อมกอดของครอบครัว
“14 พฤษภาคมนี้ ขอให้พี่น้องอย่านอนหลับทับสิทธิ์ ทุกเสียงมีค่า ทุกเสียงจะเปลี่ยนชีวิตของพี่น้อง เปลี่ยนประเทศไทยไปตลอดกาล ถ้าพรรคเพื่อไทยได้เข้ามาดูแลพี่น้อง ดิฉันรับรองได้ว่าทุกคนจะกลับมามีเกียรติ มีศักดิ์ศรีอีกครั้ง กลับมาไร้หนี้สินและวางแผนอนาคตให้ลูกหลานได้อีกครั้ง” แพทองธารกล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่จาตุรนต์ขึ้นปราศรัยให้เห็นความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลว่า ณ ปัจจุบันเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้เกิดวิกฤตอาหารโลก ขณะเดียวกันประเทศไทยก็เป็นแหล่งผลิตสินค้าทางการเกษตร แต่เกษตรกรก็ยังเดือดร้อนกันอยู่ เพราะปุ๋ยที่มีราคาแพงขึ้น 3 เท่า รัฐปล่อยให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ผูกขาด ไม่เจรจากับต่างประเทศ และในปัจจุบันการส่งออกของประเทศติดลบ เพราะรัฐไม่ทำข้อตกลงทางการค้า ส่งผลให้นักลงทุนหันไปลงทุนที่อื่น เช่น เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์
จาตุรนต์ยังกล่าวถึงความผิดพลาดของพรรครัฐบาลในปัจจุบันอีกว่า พรรครวมไทยสร้างชาติไม่มีนโยบายและไม่สนใจเสียงประชาชน ผลักดันให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ส่วนพรรคพลังประชารัฐไม่สามารถดำเนินนโยบายตามที่พรรคได้หาเสียงไว้ตอนการเลือกตั้งปี 2562 ได้แม้แต่นโยบายเดียว และพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญในสนามปทุมธานี ชูสโลแกน ‘พูดแล้วทำ’ จาตุรนต์กล่าวว่าพวกเขาทำจริง แต่ทำไปโดยไม่คิดถึงมาตรการป้องกัน ปล่อยให้เยาวชนเสพกัญชากันอย่างเสรี
ด้านณัฐวุฒิขึ้นเวทีปราศรัยเป็นคนสุดท้ายกล่าวว่า บ้านเมืองนี้ขัดแย้งกันมา 20 ปี มีผู้คนได้รับผลกระทบมากมาย มีการทำรัฐประหาร มีการฉีกรัฐธรรมนูญ มีการล้มการเลือกตั้ง มีระบบยุติธรรมสองมาตรฐาน มีการเลือกปฏิบัติ จนเกิดคนเสื้อแดงลุกขึ้นต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่งที่จะออกมาบอกว่าจะมาก้าวข้าม ทุกฝ่ายต้องช่วยกันแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองโดยอาศัยจิตวิญญาณประชาธิปไตยเป็นสารตั้งต้น หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลจะพาประเทศกลับไปสู่หนทางของประชาธิปไตยผ่านการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน
“ปทุมธานีคือดินแดนที่เคยกอดคอต่อสู้กัน เพื่อนพี่น้องของเราบางคนจากไป แต่เรายังอยู่ หัวใจดวงเดิมยังอยู่ และเราจะสู้ด้วยกันอีกครั้งในสนามเลือกตั้ง กากบาทเพื่อไทยขับไล่เผด็จการออกไป” ณัฐวุฒิกล่าว
