ภาพของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็กขวาของทีมลิเวอร์พูลที่นั่งอยู่กับ จูด เบลลิงแฮม กองกลางที่เนื้อหอมที่สุดในโลกเวลานี้ในคอนเสิร์ตของ คริส บราวน์ กลายเป็นไวรัลเล็กๆ ในช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ผ่านมา (20 มีนาคม)
“เอเจนต์เทรนต์กำลังทำงาน”
หรือ “เทรนต์พยายามแอสซิสต์นอกสนามให้ลิเวอร์พูล”
โดยที่หากย้อนกลับไปในช่วงก่อนหน้านี้ ทีมที่ถือว่า ‘ออกตัว’ แรงที่สุดเกี่ยวกับการพยายามคว้าตัวกองกลางวัย 19 ปีที่กำลังมีส่วนสำคัญในการนำโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ลุ้นแชมป์บุนเดสลีกาในเวลานี้ก็คือลิเวอร์พูลนั่นเอง เพราะไม่ใช่แค่เทรนต์เท่านั้นที่พยายามสร้างกระแส
แต่ยังมี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีม, เจอร์เกน คล็อปป์ นายใหญ่ที่เอ่ยปากชื่นชมหลายครั้งทั้งออกสื่อและไม่ออกสื่อ และมีข่าวถึงขั้นพยายามติดต่อสอบถามสารทุกข์สุกดิบกันตลอด ไปจนถึงอดีตกัปตันทีมที่เป็นฮีโร่ในดวงใจของเบลลิงแฮมอย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด ก็เก็บอาการไม่อยู่ พยายามที่จะตะล่อมกล่อมให้ย้ายมาแอนฟิลด์ด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้อดคิดไม่ได้ว่าลิเวอร์พูลเป็นตัวเต็งที่จะได้ตัวและใจของอดีตดาวรุ่งจากทีมเบอร์มิงแฮม ที่เดินตามรอย จาดอน ซานโช ไปแจ้งเกิดกับดอร์ทมุนด์
อย่างไรก็ดี ในโลกของความจริงดูเหมือนจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่มีการพูดกัน
เดวิด ออร์นสตีน ผู้สื่อข่าวระดับแถวหน้าของ The Athletic หนึ่งในสำนักข่าวกีฬาที่น่าเชื่อถือที่สุดของโลก อัปเดตความคืบหน้าเกี่ยวกับกรณีข่าวการย้ายทีมของเบลลิงแฮมในคอลัมน์ประจำสัปดาห์ว่า สถานการณ์ในปัจจุบันดูเหมือนลิเวอร์พูลจะไม่ใช่ตัวเต็งที่มีโอกาสจะได้ตัวสตาร์ดาวรุ่งคนนี้อีกแล้ว
ตามการบอกเล่าของคนข่าวชื่อดังระบุว่า ถึงลิเวอร์พูลจะต้องการที่จะได้ตัวสตาร์รายนี้ ซึ่งเป็นนักเตะเป้าหมายอันดับหนึ่งสำหรับการ ‘ปฏิวัติทีม’ ครั้งใหญ่ที่คล็อปป์จะทำทันทีเมื่อจบฤดูกาล แต่ยักษ์ใหญ่จากแอนฟิลด์เจอ ‘ตอ’ เข้าอย่างจังในเรื่องนี้
ตอที่ว่าคือการที่เบลลิงแฮมมีสัญญากับดอร์ทมุนด์ยาวถึงปี 2025 โดยที่ในสัญญานั้นไม่มีการระบุเงื่อนไขในการย้ายทีม ทำให้ทีม ‘ผึ้งน้อย’ แห่งบุนเดสลีกาสามารถที่จะเรียกราคาเท่าไรก็ได้ตามที่พอใจ อันนั้นคืออย่างแรก
และดอร์ทมุนด์เองก็มีความมั่นใจว่าในกรณีที่จะต้องขายออกไปจริงๆ หากเป็นความต้องการของนักเตะเอง การที่เขาได้รับความสนใจจากทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเรอัล มาดริด ที่พร้อมสู้ในการ ‘ประมูล’ เพื่อชิงตัวกองกลางพรสวรรค์ที่มีความครบเครื่องต้มยำมากที่สุดคนหนึ่งในเวลานี้ จะทำให้สนนราคาค่าตัวนั้นทะยานขึ้นไปจากที่มีการคาดไว้
ก่อนหน้านี้มีการคาดกันว่าค่าตัวของเบลลิงแฮมน่าจะอยู่ที่ราว 110 ล้านปอนด์ ซึ่งจะทำลายสถิติค่าตัวการย้ายทีมสูงสุดของพรีเมียร์ลีกที่ปัจจุบันเป็นของ เอนโซ เฟร์นานเดซ ที่ย้ายจากเบนฟิกามาเชลซี (106.8 ล้านปอนด์) รวมถึงสถิติค่าตัวสูงสุดของนักเตะชาวอังกฤษที่เป็นของ แจ็ค กรีลิช ที่ย้ายจากแอสตัน วิลลา มาแมนเชสเตอร์ ซิตี้
แต่ถึงตรงนี้หากมีการแข่งขันกันเกิดขึ้น ก็มีโอกาสที่ค่าตัวจะไปได้อีกไกล
แมนฯ ซิตี้ นั้นพร้อมที่จะทุ่มไม่อั้นอยู่แล้ว และพวกเขาก็ไม่ได้มีอะไรที่เป็นรองลิเวอร์พูล ไม่ว่าจะด้วยเรื่องฐานะทางการเงินท่ีมันเทียบกันไม่ได้ เรื่องสถานะของทีมระดับ Elite ในยุโรป ไปจนถึงโอกาสในการประสบความสำเร็จ และการเล่นให้กับสุดยอดโค้ชอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา
เป๊ปเองเตรียมพร้อมสำหรับการ ‘ถ่ายเลือด’ ครั้งใหญ่หลังจบฤดูกาลนี้เหมือนกัน โดยคาดว่าสตาร์หลายคนจะอำลาทีม โดยเฉพาะตัวเก๋าอย่าง อิลคาย กุนโดกัน และ แบร์นาร์โด ซิลวา ที่เหมือนจะอิ่มตัวและอยากหาความท้าทายครั้งใหม่ในชีวิต
เบลลิงแฮมจะเข้ามาเติมเต็มตรงนี้ได้พอดี ร่วมกับ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ กองกลางทีมชาติอาร์เจนตินาจากไบรท์ตันที่มีข่าวด้วยเช่นกัน
ขณะที่มาดริดถึงจะเต็มไปด้วยยอดฝีมือทั้งตัวเก๋าอย่าง ลูกา โมดริช และ โทนี โครส รวมถึงสายเลือดใหม่อย่าง โอเรเลียง ชูอาเมนี และ เอดูอาร์โด คามาวิงกา แต่ ฟลอเรนติโน เปเรซ ก็ได้คิดวางแผนเผื่ออนาคตเอาไว้แล้ว
โดยเฉพาะกับการที่โครส ซึ่งมีสัญญากับทีมถึงแค่สิ้นสุดฤดูกาลนี้ประกาศก่อนหน้าว่า “เขาจะแขวนสตั๊ดที่นี่” (กับเรอัล) ทำให้เปเรซต้องการนักเตะอย่างเบลลิงแฮมเข้ามาทดแทน และเชื่อว่าจะเป็นการทดแทนที่ยอดเยี่ยมในกรณีหากดาวเตะจอมคลาสสิกชาวเยอรมันอำลาทีมจริง หรือต่อให้ไม่อำลาก็จะสามารถทดแทนโครสหรือโมดริชที่อายุมากขึ้นทุกวัน
มาดริดยังมีข้อได้เปรียบจากเสื้อชุดขาวของพวกเขาที่เป็นที่หมายปองของนักฟุตบอลทุกคนในโลก ล่อซื้อได้เกือบทุกคน (ยกเว้น เออร์ลิง ฮาลันด์ ที่ยังไม่อยากไปตอนนี้ กับ คีเลียน เอ็มบัปเป ที่ถูกตะล่อมให้เปลี่ยนใจอยู่ปารีสต่อ)
สถานการณ์แบบนี้ทำให้ลิเวอร์พูล ซึ่งมีข้อจำกัดทางการเงิน ซึ่งแม้จะไม่ได้ถึงกับยากไร้แต่ไม่สามารถขึ้นชั้นไปสู้เรื่องค่าตัวหรือค่าเหนื่อยกับทีมระดับซิตี้หรือมาดริดไหว ไม่นับเรื่องสถานภาพของทีมที่ระส่ำระสายตลอดฤดูกาล และต้องมีการปฏิรูปครั้งใหญ่ที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะกลับมาเป็น Mentality Monster ที่น่าเกรงขามได้แบบเดิม
และหากเกิดพลาดท็อปโฟร์ขึ้นมา ซึ่งตอนนี้สุ่มเสี่ยงสูงมาก ไม่ได้ไปแชมเปียนส์ลีกด้วยก็ยิ่งส่งผลต่อโอกาสในการดึงดูดนักเตะระดับท็อปอย่างเบลลิงแฮมมากขึ้น ไม่นับเงินรายได้ที่จะหายไปอีก 40-50 ล้านปอนด์เป็นอย่างน้อย จากการที่ไม่ได้โอกาสเข้าร่วมรายการใหญ่ ซึ่งจะส่งผลต่องบประมาณโดยรวมของสโมสร
สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยแวดล้อมที่ออร์นสตีน (และสื่อทุกสำนักรายงานไปในทิศทางเดียวกัน) ว่าหากจะมีสักทีมที่ได้ตัวเบลลิงแฮมไปหลังจบฤดูกาลนี้ ทีมนั้นไม่น่าจะใช่ลิเวอร์พูล
อย่างไรก็ดี หากจะเสริมอะไรให้อีกนิดคือในวงการฟุตบอลสมัยใหม่ ในการย้ายทีมโดยเฉพาะของนักเตะระดับสตาร์ บางครั้งสิ่งที่มีความสำคัญมากไม่แพ้เรื่องของการเงินหรือโอกาสในการประสบความสำเร็จ คือเรื่องของ ‘โปรเจกต์’ หรือพูดง่ายๆ คือแผนการทำทีมในระยะยาว
มีหลายครั้งที่นักเตะเลือกย้ายทีมในแบบที่ดูผิดแผกไป เช่น กรณีของ กาเบรียล เชซุส หรือ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก ที่ย้ายจากทีมแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาอยู่กับอาร์เซนอล เพราะมั่นใจในโปรเจกต์ของทีม Gunners ที่ มิเกล อาร์เตตา ผู้จัดการทีม และ เอดู ผู้อำนวยการสโมสรวางแนวทางไว้
และอีกปัจจัยคือความจริงใจ ความตั้งใจในการติดต่อ ซึ่งบ่อยครั้งที่นักฟุตบอลเลือกทีมที่แสดงความจริงใจและตั้งใจมากกว่า
ความหวังของลิเวอร์พูลอาจจะอยู่ที่ตรงนี้แหละ
แต่สุดท้ายทีมไหนที่จะได้ร้องเพลง ‘Hey Jude’ จริงๆ หลังจบฤดูกาลนี้ คงต้องฮัมเพลงรอกันต่อไปก่อน
Na na na nananana, nannana, hey Jude…
อ้างอิง:
- https://theathletic.com/4323076/2023/03/20/ornstein-bellingham-wrexham-manchester-city-england/
- https://www.telegraph.co.uk/football/2023/03/16/liverpool-lost-another-battle-real-madrid-now-fight-jude-bellingham/
- https://en.as.com/soccer/real-madrid-midfielder-toni-kroos-opens-up-about-his-future-and-retirement-from-football-n/