×

BOI เปิดทางต่างชาติ LTR Visa เพิ่มแม็กเน็ตดูดคนเก่ง ‘AI – การเงิน’ ย้ายมาไทย เผยอเมริกัน-จีนยื่นขอมากสุด คาดสิ้นปีทะลุ 9,000 คน

20.03.2023
  • LOADING...
LTR Visa

บอร์ด BOI ทิ้งทวนรัฐบาล! ขยายขอบเขตกลุ่มนักลงทุนขอ LTR Visa เน้นความเชี่ยวชาญพิเศษ 15 สาขา ไม่จำกัดแค่ S-Curve หวังเป็นแม็กเน็ตดูดคนเก่ง AI การเงิน และการตลาด เข้าประเทศ สอดรับบิ๊กคอร์ปย้ายฐานผลิตในไทย เผยอเมริกัน-จีนยื่นขอมากสุด คาดสิ้นปีทะลุ 9,000 คน พร้อมไฟเขียวลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านบาท เน้นด้านพลังงานและดิจิทัล ลั่นนักลงทุนไม่สนยุบสภา

 

วันนี้ (20 มีนาคม) นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ด BOI) ที่มี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในการปรับปรุงคุณสมบัติและหลักเกณฑ์ ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย (Long-Term Resident Visa: LTR Visa) เพื่อให้การดึงดูดผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนด อีกทั้งมีความยืดหยุ่นในการรับรองคุณสมบัติมากขึ้น 


บทความที่เกี่ยวข้อง


โดย BOI ได้เสนอให้เพิ่มเติมและปรับปรุงอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อรับรองคุณสมบัติแก่ชาวต่างชาติที่มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษในสาขาที่ประเทศยังขาดแคลน (Highly Skilled Professional) รวม 15 สาขา ดังต่อไปนี้ 

 

  1. อุตสาหกรรมยานยนต์ 
  2. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 
  3. อุตสาหกรรมท่องเที่ยวระดับคุณภาพ 
  4. อุตสาหกรรมการเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ 
  5. อุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ 
  6. อุตสาหกรรมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ 
  7. อุตสาหกรรมการบิน อากาศยาน และอวกาศ 
  8. อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ 
  9. อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 
  10. อุตสาหกรรมดิจิทัล
  11. อุตสาหกรรมการแพทย์ 
  12. อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ 
  13. อุตสาหกรรมที่สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยตรง เช่น การผลิตเชื้อเพลิงจากขยะ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 
  14. ศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (IBC)
  15. อุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องทำงานโดยใช้ทักษะเชี่ยวชาญพิเศษในด้านใดด้านหนึ่ง เช่น นักวิจัยในสาขาอุตสาหกรรมหรือเทคโนโลยีเป้าหมาย หรือผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ทั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบบดิจิทัล การเงิน สิ่งแวดล้อม และพลังงาน ผู้เชี่ยวชาญในโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพ รวมทั้งองค์กรส่งเสริมการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ 

 

เสริมแกร่งดิจิทัลฮับ-ทุ่ม 5 หมื่นล้านบาทดันบิ๊กโปรเจกต์

โดยการเพิ่มและปรับปรุงอุตสาหกรรมเป้าหมายของ LTR Visa ในครั้งนี้ เพื่อให้ครอบคลุมอุตสาหกรรมเป้าหมาย และทักษะความเชี่ยวชาญในสาขาที่มีความสำคัญและประเทศยังขาดแคลน โดยเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงกลุ่มนี้ สามารถได้รับ LTR Visa เพื่อเข้ามาทำงานร่วมกับบุคลากรไทย จะเป็นประโยชน์ต่อการถ่ายทอดองค์ความรู้และการพัฒนาเศรษฐกิจการลงทุนของไทยได้ในระยะยาว โดยปัจจุบันมีชาวต่างชาติมายื่นขอ LTR Visa แล้วกว่า 3,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกัน จีน และยุโรป

 

“ดังนั้นเมื่อขยายขอบเขตไปหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่จำกัดแค่ S-Curve จะทำให้เราได้คนเก่งทางด้านการเงิน การตลาด AI ดิจิทัล จะเป็นแม็กเน็ตใหม่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และธุรกิจรายใหญ่โยกย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย อีกทั้งจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการเป็นดิจิทัลฮับของประเทศไทยด้วย ซึ่งไทยต้องการคนเหล่านี้มาก คาดว่าอีก 6 เดือนนับจากนี้ จะมีผู้มายื่นขอ LTR Visa เพิ่มเป็น 2 เท่า หรือสิ้นปี 2566 จะอยู่ที่ 9,000 คน”

 

นอกจากนี้ บอร์ดยังอนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ รวมมูลค่า 56,615 ล้านบาท เช่น โครงการท่าเทียบเรือขนถ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มูลค่าเงินลงทุน 32,710 ล้านบาท และโครงการโรงไฟฟ้าระบบ Cogeneration ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและสิงคโปร์ มูลค่าเงินลงทุน 5,005 ล้านบาท รวมถึงกิจการดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ 2 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวม 10,371 ล้านบาท โดยหนึ่งในนั้นเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างอังกฤษและสิงคโปร์ที่เน้นความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และจะใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อลดคาร์บอนฟุตพรินต์ 

 

อีกทั้งยังมีโครงการผลิตเหล็กแผ่นรีดเย็นเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า โครงการผลิตโลหะทองคำและเงินภายใต้รูปแบบโลหะผสม และโครงการกำจัดของเสียอุตสาหกรรม มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 8,500 ล้านบาท

 

นฤตม์กล่าวว่า การลงทุนระยะนี้ยังพบว่าเอกชนสนใจตั้งสำนักงานภูมิภาค ดังนั้น BOI จึงร่วมกับกรมสรรพากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดให้บริการระบบ HQ Biz Portal ซึ่งเป็นศูนย์รวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งสำนักงานภูมิภาค และระบบนัดหมายออนไลน์ รวมทั้งได้จัดตั้งทีมงานร่วมกัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทย 

สำหรับยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนกิจการสำนักงานภูมิภาคตั้งแต่ปี 2543 มีโครงการที่ได้รับการส่งเสริมกว่า 500 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 13,000 ล้านบาท โดยบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นมีสัดส่วนโครงการที่ได้รับการส่งเสริมสูงสุด 40% รองลงมาได้แก่ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และฮ่องกง โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริม 3 อันดับแรก ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 

 

“ในช่วงวันที่ 3-7 เมษายน 2566 BOI จะเดินทางไปโรดโชว์ที่ประเทศจีน เพื่อดึงอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เข้ามาลงทุนในไทย จากนั้นเดือนมิถุนายน 2566 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนักธุรกิจชาวจีน ครั้งที่ 16 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยจะมีนักธุรกิจจีนทั้งที่ลงทุนในประเทศไทยและลงทุนในประเทศอื่นๆ เดินทางมาร่วมประชุมมากกว่า 4,000 คน” นฤตม์กล่าว

 

ยุบสภา! ไม่ทำให้นักลงทุนชะลอแผน

นฤตม์กล่าวอีกว่า หลังจากที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาไปเมื่อช่วงเวลา 15.00 น. วันที่ 20 มีนาคม 2566 นั้น มั่นใจว่าสถานการณ์การเมืองของไทยในครั้งนี้ไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุน เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ได้ติดตามเรื่องการเมือง และรับทราบมาโดยตลอดว่าไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ โดยช่วงรัฐบาลรักษาการนี้ ทุกอย่างจะยังคงดำเนินได้ตามปกติ

 

ทั้งการอนุมัติโครงการที่ขอรับส่งเสริมไว้ การเดินสายพบนักลงทุนทั่วประเทศทั้ง 4 ภาค การโรดโชว์ต่างประเทศที่จะมีขึ้นช่วงต้นเดือนเมษายน 2566 ที่ประเทศจีน การทำโปรโมชัน รวมถึงการจัดกิจกรรมต่างๆ ทั้งหมด

 

“การที่ BOI ได้ประกาศนโยบายใหม่เมื่อต้นปี 2566 ที่ผ่านมา มันก็ชัดเจนแล้ว นักลงทุนเขารู้นโยบาย และมันไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแม้จะเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ นักลงทุนเขารับรู้ว่าเราจะมีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ แบบนี้เขายิ่งรีบยื่นขอรับส่งเสริม เพราะการลงทุนมันรอไม่ได้

 

“จากการที่พบนักลงทุนมาโดยตลอด นักลงทุนเองพอใจกับสิทธิประโยชน์ที่ BOI มี นโยบายของไทยมีแต่ปรับให้มีประสิทธิภาพให้ดี และสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น สิ่งนี้จะใช้เป็นกลไกเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ นอกจากนี้นักลงทุนเองไม่ได้พิจารณาจากแค่สิทธิประโยชน์ของ BOI แต่จะพิจารณาจากตลาด โครงสร้างพื้นฐาน Ecosystem และความพร้อมด้านพลังงานสะอาด ซึ่งไทยได้เปรียบเพื่อนแทบทุกเรื่อง จึงไม่ใช่เรื่องกังวลใจว่านักลงทุนจะเปลี่ยนใจเลือกประเทศเพื่อนบ้านลงทุนแทนไทย” นฤตม์กล่าวทิ้งท้าย

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising