เปิดวิสัยทัศน์ ‘ตง ธีระนุสรณ์กิจ’ เจ้าของตำนานคุกกี้อิมพีเรียล สินค้าที่สร้างชื่อเสียงให้ KCG เป็นที่รู้จักในตลาด แต่จากนี้ไม่เน้นโตแค่สินค้ากลุ่มเดียว เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่หยุด ก่อนลงทุนเพิ่มกำลังผลิตรองรับตลาดไทยและต่างประเทศ พร้อมเล็งใช้ M&A เข้าเสริมแกร่งซัพพลายเชน ตั้งเป้าก้าวเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารรายใหญ่ในไทย
หากพูดถึงคุกกี้อิมพีเรียล หรือคุกกี้กล่องแดงที่หลายคนรู้จักกันดีและมักจะซื้อเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลปีใหม่นั้น ได้สร้างชื่อเสียงและตำนานให้กับบริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น อย่างมาก และแน่นอนว่าสินค้าของเคซีจีไม่ได้มีแค่คุกกี้ แต่มีหลากหลาย ทั้งบิสกิต วัตถุดิบในการทำเบเกอรี สินค้าประเภทนม เนย ชีส อาหารสำเร็จรูป และอาหารแช่แข็งต่างๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘KCG’ เจ้าของคุกกี้อิมพีเรียลเตรียมเข้าตลาดหุ้น ขาย IPO ไม่เกิน 170 ล้านหุ้น นำเงินเพิ่มศักยภาพคลังสินค้า
- 8 หุ้นเนื้อทอง เซียนหุ้น รุมตอม ร่วมลงทุนติดอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่
- 9 หุ้นสุดฮอต ค่า P/E Ratio สูงทะลุ 500 เท่า
เรียกได้ว่าปัจจุบันเคซีจีอยู่ในตลาดมากว่า 65 ปี จากจุดเริ่มต้นของธุรกิจครอบครัวที่จัดตั้งธุรกิจภายใต้ชื่อ ห้างหุ้นส่วนจำกัด กิมจั๊วพาณิชย์ ทำธุรกิจซื้อมาขายไป แน่นอนว่ามีการเติบโตขึ้นต่อเนื่อง จนถึงวันนี้ ‘ตง ธีระนุสรณ์กิจ’ ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ต้องเปลี่ยนวิชันใหม่ จากธุรกิจครอบครัวในอดีต เริ่มเปิดให้ผู้บริหารมืออาชีพเข้ามาเสริมทัพ เพื่อนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยหวังสร้างการเติบโตให้กับองค์กรได้ในระยะยาวและมีความยั่งยืนมากขึ้น
แม่ทัพใหญ่เคซีจีฉายภาพว่า เริ่มต้นธุรกิจในปี 2501 จากการมองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจอาหารและแดรีโปรดักต์ จึงเริ่มนำเข้าเนย ชีส และวัตถุดิบเบเกอรีเข้ามาจำหน่าย ซึ่งได้รับการตอบรับค่อนข้างดี จึงต่อยอดหันมาผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายเอง
เริ่มตั้งแต่คุกกี้อิมพีเรียล ได้นำจุดแข็งของการอยู่ในแวดวงอาหาร นำสูตรจากเดนมาร์ก และวัตถุดิบนำเข้ามาพัฒนาเป็นคุกกี้ 5 แบบ ได้แก่ วานิลลาริง, เพรทเซล, ฟินนิช, สปีซี่ และเคอร์เร้นท์ ซึ่งต้องยอมรับว่าคุกกี้อิมพีเรียลกลายเป็นสินค้าระดับตำนานที่สร้างชื่อเสียงให้กับบริษัท
ที่สำคัญวิสัยทัศน์ของเราจะไม่เน้นโตเพียงแค่บางกลุ่มสินค้า แต่ต้องสร้างการเติบโตหลากหลายด้าน ทำให้ปัจจุบันมีสินค้าในพอร์ตทั้งหมด 2,100 รายการ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เนย บัตเตอร์ ชีส นมพร้อมดื่ม แบรนด์ Allowrie 2. ผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารและเบเกอรี แบรนด์ Imperial และน้ำผลไม้ Sunquick และ 3. กลุ่มผลิตภัณฑ์บิสกิต (Biscuits) ได้แก่ ผลิตภัณฑ์คุกกี้ ผลิตภัณฑ์แครกเกอร์ และผลิตภัณฑ์เวเฟอร์ ภายใต้แบรนด์ Imperial, Rosy และ Violet
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้หลักมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ส่วนบิสกิตยังทำรายได้ในสัดส่วนที่ยังน้อย แต่คนรู้จักมากที่สุด
สำหรับช่องทางขายปัจจุบันมีทั้ง B2C ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ และช่องทางขายให้กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ B2B ให้กับผู้ผลิตอาหาร ผู้ประกอบการโรงแรม และภัตตาคาร รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ Lazada และ Shopee ที่มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจต่อจากนี้ บริษัทเดินหน้าให้ความสำคัญกับการพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่จากทีม R&D เพื่อเพิ่มทางเลือกและสอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างต่อเนื่อง
รวมถึงการลงทุนสร้างศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า (KCG Logistics Park) บนพื้นที่ 15 ไร่ เพิ่มพื้นที่การจัดเก็บและบริหารจัดการสินค้า โดยปัจจุบันมีศูนย์กระจายสินค้าอยู่ 4 แห่ง
พร้อมกับขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ชีส จากเดิม 2,106 ตันต่อปี เป็น 4,212 ตันต่อปีภายในปี 2566 และจะขยายกำลังการผลิตเนย จากในปัจจุบัน 18,596 ตันต่อปี เป็น 23,261 ตันต่อปีในปี 2567 เพื่อรองรับการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ จากปัจจุบันที่มีการส่งออกไปแล้ว 15 ประเทศทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้
ยิ่งไปกว่านั้นยังมองหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อขยายธุรกิจผ่านการควบรวมกิจการ M&A และ Joint Venture โดยเน้นธุรกิจที่มีเป้าหมาย วิสัยทัศน์ และแผนกลยุทธ์ที่เสริมศักยภาพการเติบโตให้กับเคซีจี อาทิ ธุรกิจต้นน้ำ ซึ่งเป็นธุรกิจที่จะช่วยเสริมแกร่งให้ซัพพลายเชน ซึ่งจะสามารถบริหารต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมอาหารมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก จากปัจจัยเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวหลังโควิดคลี่คลายลง ส่งผลให้ธุรกิจอาหารขยายตัวได้มากขึ้น ดังนั้นเคซีจีจึงต้องรักษาความเป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์เนยและชีสที่ถือครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 มาต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบการทำเบเกอรีและผลิตภัณฑ์บิสกิตมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ใน 5 อันดับต้นๆ
ตงย้ำถึงเป้าหมายที่ต้องการไปให้ได้คือ ก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารรายใหญ่ในประเทศไทย และสามารถสร้างยอดขายเติบโตมากกว่า 7-8% ต่อปี