หลังจากที่ผู้ตัดสินในสนามได้รับการยืนยันจากผู้ตัดสิน VAR ว่าประตูในช่วงท้ายเกมของ เอ็ดดี เอ็นเคเทียห์ ไม่เป็นลูกล้ำหน้า และยืนยันให้อาร์เซนอลได้ประตูขึ้นนำแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-2 โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก ก็คำรามลั่นออกมา
เสียงนั้นราวกับเสียงพสุธากัมปนาทจากกระสุนปืนใหญ่ที่ตกลงใส่กลางหัวใจของแฟนบอลทีมปีศาจแดง คู่ปรับที่พยายามอย่างสุดความสามารถแล้วตลอดเกมที่เอมิเรตส์สเตเดียม
และมันยังเป็นการบอกกับทุกผู้ทุกคนบนแผ่นดินอังกฤษว่า ณ บัดนี้อาร์เซนอลต้องการแชมป์พรีเมียร์ลีก และพวกเขาพร้อมที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อจะคว้ามันมาครองให้ได้
การคำรามของซินเชนโก – ซึ่งเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดทั้งเกมจนหลายคนสงสัยว่าตกลงแล้วดาวเตะชาวยูเครนเล่นตำแหน่งใดกันแน่ เพราะอยู่ไปทุกที่ของสนาม – มันชวนให้คิดถึงภาพของ มาร์ติน คีโอว์น ที่กระโดดมาตะคอกถากถางใส่ รุด ฟาน นิสเตลรอย หลังจากที่หัวหอกมฤตยูชาวเนเธอร์แลนด์สังหารจุดโทษในช่วงท้ายเกมที่โอลด์แทรฟฟอร์ดพลาด
นั่นคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เพราะทำให้อาร์เซนอลรอดพ้นจากความปราชัยในช่วงต้นฤดูกาล ก่อนจะเดินหน้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2003/04 ได้โดยไม่แพ้ใครตลอด 38 นัด กลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้แชมป์โดยไร้พ่าย
นอกเหนือจากโทรฟีพรีเมียร์ลีกทองคำใบเล็กที่ได้รับเป็นที่ระลึกแล้ว สมญา ‘The Invincibles’ ของพวกเขาก็ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ไม่มีใครที่ทำตามได้ไม่ว่าจะเป็นเชลซีของ โชเซ มูรินโญ, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา หรือลิเวอร์พูลของ เจอร์เกน คล็อปป์
อย่างไรก็ดี นั่นคือครั้งสุดท้ายเช่นกันที่ทีมกันเนอร์สคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ หลังจากนั้นพวกเขาไม่เคยได้ครอบครองมันอีกเลย
ระยะเวลาที่ผ่านมา การรอคอยที่ยาวนาน ความเจ็บปวดจากช่วงมืดมนอนธการ ทำให้ความหวังในหัวใจของเหล่ากูนเนอร์สเบ่งบาน มันพรั่งพรูออกมาเป็นรอยยิ้มแห่งความสุข และความหวังที่เปล่งประกายอยู่ในแววตา
เช่นกันกับนัยน์ตาของเหล่านักเตะ ทีมของ มิเกล อาร์เตตา ‘เชื่อ’ ว่าพวกเขาจะทำได้
เพียงแต่พวกเขาไม่ได้มีแค่ความเชื่อ หากแต่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นทีมที่มีความสามารถจริง ทีมที่ถูกผู้คนมากมายตั้งคำถามว่าไม่น่าจะ ‘ถึงแชมป์’ ด้วยการอ่อนประสบการณ์ในการขับเคี่ยวระดับสูงสุดมาก่อน กลับสามารถมอบคำตอบให้ทุกคนได้เห็นผ่านผลงานที่ร้อนแรงไม่ต่างจากห่ากระสุนปืนใหญ่ที่ถูกยิงขึ้นราวกับไม่มีวันหมด
เวลานี้มีเหตุผลมากมายที่ชวนให้เชื่อว่าอาร์เซนอลดีพอสำหรับการเป็นแชมป์ และพวกเขาก็เอาชนะทีมเดียวที่เอาชนะพวกเขาได้อย่างน่าประทับใจด้วย
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การนำของ เอริก เทน ฮาก เองก็อยู่ในช่วงเวลาที่ดี และความเด็ดขาดของพวกเขาก็แสดงให้เห็นกับ 2 ประตูในช่วงของ มาร์คัส แรชฟอร์ด และ ลิซานโดร มาร์ติเนซ รวมถึงการต่อกรกับจ่าฝูงอย่างอาร์เซนอลได้อย่างสนุก
บ้างก็ว่า 15 นาทีแรกของเกมที่เอมิเรตส์เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมานั้นสนุกกว่า 90 นาทีรวมกันระหว่างลิเวอร์พูลและเชลซี ซึ่งเสมอกันแบบทำอะไรไม่ได้ในสไตล์ของ ‘ทีมกลางตาราง’ เสียอีก
ตรงนั้นก็ว่ากันไป แต่คุณภาพของเกมระหว่างอาร์เซนอลและยูไนเต็ดเป็นเช่นนั้นจริง ซึ่งเห็นแล้วก็แอบคิดถึงวันวานที่ทั้งสองทีมนี้ขับเคี่ยวแย่งแชมป์กันในช่วงปลายยุค 90 ต่อต้นยุค ‘Y2K’
ในวันนั้นความเป็นอริระหว่างสองทีมรุนแรงอย่างยิ่ง นอกจากภาพของคีโอว์นที่เยาะเย้ยฟาน นิสเตลรอย แล้ว ยังมีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง รวมถึงเหตุการณ์ ‘Pizzagate’ ในปี 2004 ซึ่งมีนักเตะอาร์เซนอล ที่ เชส ฟาเบรกาส รับสารภาพในเวลาต่อมาว่าเป็นคนปาพิซซ่าไปโดนเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
หากตัดประเด็นความเดือดนอกเกมไป ความเดือดในเกมของทั้งสองทีมนั้นเป็นของจริง ที่แม้แต่นักเตะอย่างเชสก็ยอมรับว่าเขาคิดถึงการแข่งขันที่ดุเดือดในวันวาน
แต่อาร์เซนอลก็เป็นฝ่ายที่ทำผลงานในภาพรวมได้ดีกว่า
Opta Analyst ระบุว่าพวกเขามีการสัมผัสบอลในกรอบเขตโทษของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมกันตลอดทั้งเกมถึง 63 ครั้ง ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในบรรดาทีมพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2022/23 ขณะที่คู่แข่งจากเมืองเหนือมีโอกาสได้สัมผัสบอลในกรอบเขตโทษของพวกเขาแค่ 12 ครั้งเท่านั้น
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนได้ถึงความยอดเยี่ยมในการเล่นของอาร์เซนอล ทั้งในแง่ของเกมรุกที่สามารถสร้างโอกาสเข้าถึงกรอบเขตโทษได้สูงมาก (ยิ่งถึงกรอบเขตโทษมากเท่าไร ยิ่งมีโอกาสได้ประตูมากเท่านั้น) และเกมรับที่สามารถปิดป้องโอกาสในการทำประตูของคู่ต่อสู้ได้
ทีมของอาร์เตตายังแสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่าในแง่ของคุณภาพผู้เล่น ซึ่งตรงนี้ให้คะแนนความเห็นใจทีมของเทน ฮาก ที่ไม่มี คาเซมิโร กองกลางหัวใจสำคัญของทีม ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการขาดไปไม่มีใครในทีมที่สามารถทดแทนได้
เพียงแต่ระยะห่างระหว่างทั้งสองทีม หากมองถึงระยะเวลาที่อาร์เซนอลพยายามก่อร่างสร้างฐานขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ปี 2019 ด้วยระยะเวลา 4 ปีที่เติมจิ๊กซอว์เข้ามาทีละชิ้นจาก กาเบรียล มาร์ติเนลลี จนถึงสองนักเตะที่มีประสบการณ์ล้ำค่าในการลุ้นแชมป์อย่างซินเชนโก และ กาเบรียล เชซุส (ที่เป๊ปอาจจะเขกหัวตัวเองว่าปล่อยให้ทำไมนะ…) จนถึงล่าสุด เลอันโดร ทรอสซาร์ด สำหรับแมนฯ ยูไนเต็ด ในช่วงตลาดการซื้อขายแค่ 2 รอบ พวกเขามาได้ขนาดนี้ก็นับว่าน่าประทับใจแล้ว
และน่าคิดว่าในอนาคตอันใกล้มีโอกาสที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะไล่ตามได้ทันในช่วงระยะเวลาอีก 1-2 ปี
แต่สิ่งที่แตกต่างกันชัดเจนที่สุดระหว่างทั้งสองทีมในเกมเมื่อคืนที่ผ่านมาคือเรื่องของ ‘Mentality’ ซึ่งอาร์เซนอลแสดงให้เห็นถึง ‘Winning Mentality’ หรือหัวใจของผู้ชนะที่ชัดเจน แม้กระทั่ง เอริก เทน ฮาก ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ทีมของเขาต้องเรียนรู้
เพราะสิ่งที่ทำให้อาร์เซนอลชนะคือจิตใจ ความเชื่อมั่นของนักเตะทุกคนที่ลงสนาม ทุกคนเล่นด้วยความรู้สึกแบบเดียวกัน เล่นด้วยหัวใจแบบเดียวกัน เล่นเพื่อกันและกัน
นั่นทำให้แม้กระทั่งกองหน้าที่ถูกวางไว้เป็นตัวทดแทนอย่าง เอ็ดดี เอ็นเคเทียห์ ยกระดับตัวเองขึ้นมากลายเป็นอีกหนึ่งฮีโร่ของทีมได้ในเกมนี้ และที่ผ่านมาอาร์เซนอลก็มีฮีโร่ที่โผล่ขึ้นมาแทบไม่ซ้ำหน้ากัน ไม่ได้ฝากความหวังเอาไว้ที่ใครคนใดคนหนึ่ง
ทีมแบบนี้น่ากลัวและน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่งครับ
ต่อจากนี้ไป คู่แข่งเดียวสำหรับทีมของ มิเกล อาร์เตตา คือตัวของพวกเขาเอง เพราะถึงจะเข้าสู่ช่วงปลายเดือนมกราคมแล้ว แต่ฤดูกาลเพิ่งผ่านมาได้เพียง ‘ครึ่งทาง’
โดยระยะทางที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งนั้นก็ยังไม่ง่าย มีปัจจัยที่พร้อมจะเข้ามามีส่วนตัดสินได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเหนื่อยล้า ปัญหาอาการบาดเจ็บ ไปจนถึงเรื่องของโชคชะตาที่แม้แต่การตัดสินผิดพลาดครั้งเดียวก็อาจนำไปสู่การฝันสลายได้
ถึงตอนนี้อาร์เซนอลจะยังไม่ชนะอะไรทั้งนั้น
แต่ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะไม่มีสิทธิ์ฝันนะครับ 🙂
- จดไว้นะครับ อาร์เซนอลจะรับมือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 15 กุมภาพันธ์นี้ และไปเยือนที่เอติฮัดสเตเดียม 26 เมษายน สองนัดนี้คือเกมที่มีโอกาสตัดสินแชมป์