วันนี้ (3 ธันวาคม) จิรายุ ห่วงทรัพย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีมีข่าวพาดพิงถึงตนในข้อพิพาทกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ภาคกลางของพรรคเพื่อไทยที่เปิดตัวไปเมื่อวานนี้คือ ศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อดีตอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล
จิรายุกล่าวว่า ตนขอยืนยันว่าเป็นข้อเท็จจริงเต็มคาราเบล แต่เป็นข้อพิพาทในการตรวจสอบทุจริตของพวกข้าราชการกังฉินที่ตนทำมาตลอดนับ 20 ปี ตนทำงานรับใช้และต่อสู้พวกเผด็จการให้กับพรรคเพื่อไทยมา 10 กว่าปี ก็ไม่คิดว่าพรรคจะจัดได้เต็มคาราเบลกับตนเช่นนี้เหมือนกัน ทำให้ตนต้องคิดมากขึ้นในเรื่องแนวทางการเมืองนับจากนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผู้ใหญ่ที่ให้ความเคารพนับถือของพรรคได้เรียกให้ตนไปพูดคุยแล้วก็ยืนยันแล้ว แต่ผลออกมาเป็นเช่นนี้ตีความได้อย่างเดียวว่าตนไม่มีคุณค่ากับพรรคเพื่อไทยอีกต่อไป
จิรายุกล่าวต่อไปว่า อย่าคิดว่าคนที่เคยด่าร้ายผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรค เป็นปรปักษ์ของพรรคมาตลอดจะทำอะไรกับพรรคเพื่อไทยก็ได้ อยากจะไปก็ด่าพรรคเอาใจ 3 ป. อยากจะกลับมาก็ชเลียร์
ส่วนกลไกการขับเคลื่อนด้านติดตามตรวจสอบทุจริตของตนยังเดินอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีคดีความของศักดิ์ดาที่คณะกรรมาธิการกิจการศาลฯ และตนได้ยื่นฟ้องไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่องการทุจริตของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลแล้ว ซึ่งมีอีก 3 สำนวน ในการตรวจสอบทุจริตของกรมฯ และการใช้เงินกองทุนพัฒนาทรัพยากรน้ำบาดาลปีที่ผ่านมา ซึ่งยกร่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีทั้งเอกชนและข้าราชการระดับสูง ตลอดจนรองอธิบดีจนถึงผู้อำนวยการกองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต
“เพราะฉะนั้น FC จิรายุ ขอให้มั่นใจได้ว่าใครจะเข้ามาบ้านนี้ด้วยวิธีการแบบใดตนไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่าถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่ตนเคารพนับถือต้องอธิบายให้ได้ ไม่เช่นนั้นหลักการที่ตนศรัทธามาตลอด 10 กว่าปีจะสิ้นไป” จิรายุกล่าว
จิรายุกล่าวอีกว่า ปีที่แล้วตนต่อสู้กับเรื่องเหล่านี้จนบอบช้ำ พรรคก็ไม่เคยให้ความช่วยเหลืออะไรตนอยู่แล้ว ตนถูกศักดิ์ดากลั่นแกล้งไปยื่นฟ้องที่สายบุรี ปัตตานี พื้นที่เสี่ยงภัย หวังให้ตนเสี่ยงชีวิต แต่มี ซูการ์โน มะทา ดูแลความปลอดภัยให้ตลอด ตนต่อสู้คดีจนชนะและฟ้องกลับเรียกค่าเสียหายทั้งทางอาญาและทางแพ่งไป 25 ล้านบาท
แต่ศักดิ์ดาก็ยังกลั่นแกล้งตน โดยใช้ตำแหน่งอธิบดียื่นร้องจริยธรรมตนต่อรัฐสภาจนมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน และกรรมการลงมติว่าการร้องของศักดิ์ดาไม่มีมูลความจริง ให้ยกคำร้อง และยังมีการร้องตนในเรื่องเดียวกันไปที่ ป.ป.ช. โดยมีเจตนาให้ตนติดคุก หมดอนาคตทางการเมือง ทั้งที่ตนประกอบคุณงามความดีมาตลอดชีวิตการเมืองจนเป็นที่ประจักษ์ในสังคม และตนไม่เคยรู้จักกับศักดิ์ดาหรือมีเรื่องโกรธแค้นใดกันมาก่อนแม้แต่น้อย ยังทำตนได้ขนาดนี้ ตนทำหน้าที่ในฝ่ายค้านในฐานะประธานกรรมาธิการ ไม่เคยรู้จักเขามาก่อน ซึ่งมารู้ทีหลังว่าเขามีข้อพิพาทกับ ส.ส. พรรคเพื่อไทย และด่าพรรคมาตลอด 2-3 ปีมานี้
“ถามจริงๆ เถอะ จะให้ตนยืนให้ตบหัวเล่นเฉยๆ หรืออย่างไร ซึ่งนับจากนี้ตนจะเข้มข้นในการตรวจสอบประวัติผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะทุกคนที่เคยอยู่พรรคตรงข้าม เพราะวันนี้พอจะแลนด์สไลด์แห่กันเข้ามา คนอยู่บ้านเป็นหมาเฝ้าบ้านแบบพวกตนควรปฏิบัติตนแบบไหนดี” จิรายุกล่าว
จิรายุกล่าวตบท้ายว่า สำหรับตนถ้าไม่อยู่พรรคเพื่อไทย ตนก็จะไปเป็นภาคประชาชนเพื่อติดตามตรวจสอบไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล จะใช้วิชาชีพที่เคยเป็นนักข่าวสืบสวนสอบสวนมาตลอดทั้งชีวิตทำงานเพื่อให้สังคมน่าอยู่