×

คุยกับ ‘นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์’ ผู้ก่อตั้งและปั้น ‘THE KLINIQUE’ ให้กลายเป็นคลินิกเวชกรรมเจ้าแรกที่เข้าเทรดตลาด mai ปิดยอดขาย IPO เกลี้ยง 60 ล้านหุ้น [PR NEWS]

07.11.2022
  • LOADING...
THE KLINIQUE

HIGHLIGHTS

10 mins. read
  • 13 ปี กว่า 40 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ อะไรทำให้ THE KLINIQUE คลินิกเวชกรรมด้านผิวหนัง ความงาม ศัลยกรรมตกแต่ง และการดูแลป้องกันฟื้นฟูสุขภาพ เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน จนสามารถยืนอยู่ในตลาดหุ้นไทยในฐานะ ‘หุ้นคลินิกการแพทย์ความงาม’
  • หมอเติ้ล-นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ บอกว่า 3 เสาหลักที่ทำให้ THE KLINIQUE แข็งแกร่งคือ บุคลากร นวัตกรรม และภาพลักษณ์
  • หลังจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai แล้ว THE KLINIQUE จะนำเงินระดมทุนไปขยายสาขาคลินิกเวชกรรมราว 6-10 สาขาต่อปี ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ หัวเมืองใหญ่ และหัวเมืองรอง และจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ ขยายกิจการศูนย์ศัลยกรรม และพัฒนาระบบ IT

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

 

เป็นไปตามคาด หลังจากที่ บมจ.เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม หรือ ‘KLINIQ’ คลินิกเวชกรรมด้านผิวหนัง ความงาม ศัลยกรรมตกแต่ง และการดูแลป้องกันฟื้นฟูสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ THE KLINIQUE กำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่ 24.50 บาท โดยเปิดให้จองไปเมื่อ 28 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า ‘KLINIQ’ ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ ชูจุดแข็ง ‘ขยายสาขาได้เร็ว ไร้หนี้ แบรนด์แข็งแกร่ง’ ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมากจนขายเกลี้ยง 60 ล้านหุ้น และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เมื่อ 7 พฤศจิกายน 2565 เป็นที่เรียบร้อย และเปิดตัวที่ราคา 36 บาท เหนือราคา IPO เกือบ 50% อย่างสวยงาม

 

หากมองในสายตาของนักลงทุน ‘KLINIQ’ เป็นหุ้นที่ควรมีไว้ในพอร์ตอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะเป็นหุ้นคลินิกการแพทย์ความงามตัวแรกและตัวเดียวในตลาดหุ้นไทยแล้ว ถ้าย้อนดูผลประกอบการตลอด 13 ปี จะเห็นว่า THE KLINIQUE ไร้ภาระหนี้ สามารถขยายสาขาได้รวดเร็ว ต่อเนื่อง และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทั่วถึง มีภาพลักษณ์แบรนด์ที่ดีจนเป็น Top of Mind ครองใจผู้บริโภคมาโดยตลอด

 

THE KLINIQUE

 

ปัจจัยบวกสำคัญที่เข้าตานักลงทุนเห็นจะเป็นรูปแบบธุรกิจของ THE KLINIQUE สอดรับกับเมกะเทรนด์ของโลกอย่าง Health & Wellness มีการคาดการณ์จาก Global Wellness Institute (GWI) ว่า มูลค่าของเศรษฐกิจเพื่อสุขภาพของทั้งโลก (Global Wellness Economy) จะแตะ 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 266 ล้านล้านบาท ในปี 2568 เช่นเดียวกับที่ Grand View Research บริษัทวิจัยด้านการตลาดในสหรัฐอเมริกา คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดการแพทย์ความงาม (Aesthetic Medicine) ของไทยในปี 2573 จะสูงถึง 1.31 แสนล้านบาท หรือ 3.45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แนวโน้มที่ว่านี้จึงเป็นสัญญาณที่ดีต่อนักลงทุน

 

ขณะเดียวกัน THE KLINIQUE ซึ่งวางตำแหน่งตัวเองให้อยู่ในกลุ่มธุรกิจคลินิกการแพทย์ความงาม (Aesthetics & Wellness) ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างธุรกิจสุขภาพ (Healthcare) ที่เป็น Blue Ocean และธุรกิจความงาม (Beauty) ที่เป็น Red Ocean กลายเป็น Purple Ocean ที่แม้จะดูหอมหวานและน่าเข้ามาทำตลาด แต่ใช่ว่าใครก็จะทำได้ เพราะต้องอาศัยประสบการณ์และทีมแพทย์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเป็นแกนหลัก

 

THE KLINIQUE

 

หลายคนคงอยากรู้แล้วว่าเบื้องหลังความสำเร็จของ THE KLINIQUE จากคลินิกความงามน้องใหม่ในสยามสแควร์ กลายเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจความงามเมืองไทยและเป็นคลินิกเวชกรรมความงามเจ้าแรกที่เข้าระดมทุนในตลาดหุ้นได้อย่างไร ชวนนั่งคุยกับ หมอเติ้ล-นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) (KLINIQ)

 

เจ้าแรกในสยามสแควร์ที่มี ‘นวัตกรรมฉายแสงรักษาสิว’

ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นของ THE KLINIQUE หลังจากที่หมอเติ้ลคว้าเกียรตินิยมอันดับ 2 จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ตัดสินใจบินไปศึกษาต่อด้านเลเซอร์ผิวหนัง (Fellowship in Dermatology) ที่ Harvard Medical School ประเทศสหรัฐอเมริกา และศัลยกรรมมะเร็งผิวหนังที่ University of Miami รัฐฟลอริดา ก่อนจะกลับมาร่วมลงทุนกับเพื่อนที่จุฬาฯ เปิด ‘THE KLINIQUE’ โดยชูจุดเด่นด้วยการนำนวัตกรรมฉายแสงรักษาสิวเข้ามาให้บริการเป็นคลินิกรายแรกๆ ในเมืองไทย

 

“ช่วงปี 2552 ยุคนั้นคลินิกความงามส่วนใหญ่เน้นเรื่องของการนวดหน้า ทำทรีตเมนต์ และรักษาสิวแบบดั้งเดิม คือ กดสิว ฉีดสิว ทายา กินยา เราเป็นคลินิกแรกๆ ที่นำนวัตกรรมฉายแสงรักษาสิวเข้ามา ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ต่างประเทศใช้กันมานานแต่ยังไม่แพร่หลายในบ้านเรา ให้ประสิทธิภาพในการรักษาดีกว่า ฉายสิวหนึ่งครั้งสิวก็แห้งแล้ว ไม่ต้องกินยาเยอะเหมือนเมื่อก่อน คนที่รักษาสิวจากที่เดิมมานานๆ ก็อาจจะดื้อยา การรักษาด้วยแสงจะช่วยเคลียร์สิวที่ดื้อยาบนใบหน้าได้ นั่นเป็นจุดที่ทำให้เราแตกต่างจากผู้เล่นอื่นๆ ในตลาดยุคนั้น

 

“เลือกสยามสแควร์เพราะคุ้นเคย แต่เหตุผลที่สำคัญกว่าคือ ตอนนั้นมองว่านวัตกรรมนี้มันไปได้อีกไกลและเราต้องการให้คนไทยได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ถ้าเราเปิดตลาดตรงนี้และได้รับการยอมรับจากลูกค้า มันจะพิสูจน์ได้ระดับหนึ่งว่าโมเดลนี้สามารถไปที่ไหนก็ได้”

 

THE KLINIQUE

 

Key Success ที่ทำให้ THE KLINIQUE ติดท็อปลิสต์คลินิกเวชกรรมความงามที่ดีที่สุดในเมืองไทย

หมอเติ้ลบอกว่าการเติบโตอย่างมั่นคงและสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่ใช้บริการมาตลอด 13 ปี เกิดจาก 3 เสาหลัก ได้แก่ บุคลากร นวัตกรรม และภาพลักษณ์

 

“องค์ประกอบแรกที่สำคัญมากๆ คือ บุคลากร ปัจจุบันเรามีพนักงานมากกว่า 700 คน ในจำนวนนั้นเป็นแพทย์กว่า 100 ท่าน เราวางระบบเรื่องการเทรนบุคลากรทุกตำแหน่ง ลงทุนในการพัฒนาทีมแพทย์และบุคลากรเยอะ มีการจัดสรรงบในการจัดเทรนนิ่งประมาณ 10% ต่อปี อย่างแพทย์ต้องเทรนเรื่องการผ่าตัด กายวิภาค เราก็ส่งไปเทรนกับโรงพยาบาล หรือทีมเซอร์วิส เราเชิญโรงแรมระดับ 5 ดาว มาเทรนเรื่องการดูแลลูกค้าต้องพูดอย่างไร ดูแลอย่างไร ไม่ว่าคุณจะไปใช้บริการสาขาไหนก็จะได้รับบริการและการรักษาด้วยมาตรฐานเดียวกัน

 

“สิ่งต่อมาคือ นวัตกรรม ต้องบอกว่าเป็นจุดเด่นและจุดแข็งของ THE KLINIQUE เราเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีหลายด้าน เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทั้งหมดนำเข้าจากยุโรปและสหรัฐฯ และจะต้องได้รับการยอมรับจากองค์การอาหารและยาแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) อย่างโปรแกรม Ulthera เราก็เพิ่งได้รับรางวัล The Winner of Thailand Highest Achievement for Ultherapy และ Asia Pacific Highest Achievement for Ultherapy 2021 ในฐานะคลินิกที่ให้บริการโปรแกรม Ultherapy ครบวงจรมากที่สุดของประเทศไทยและเป็นผู้นำระดับเอเชียแปซิฟิก

 

“หรือถ้าเป็นนวัตกรรมเกี่ยวกับเรือนร่าง เรามีเครื่องโปรแกรมสร้างซิกซ์แพ็กด้วยเครื่อง Emsculpt NEO ที่ได้มาตรฐาน U.S. FDA ด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นเรายังให้ความสำคัญกับห้องผ่าตัด เนื่องจากความเสี่ยงของการทำศัลยกรรมอย่างหนึ่งคือการติดเชื้อ เราจึงสร้างห้องผ่าตัดปลอดเชื้อชั้นสูง (Sterile Room) ที่ควบคุมอุณหภูมิและรักษาแรงดันอากาศตามมาตรฐาน ASHRAE Standard และ CDC Guidelines เพื่อความปลอดในระดับมาตรฐานสากล

 

“สุดท้ายคือเรื่องของภาพลักษณ์ เราภูมิใจมากที่ได้ อั้ม พัชราภา มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ เพราะเขาไว้ใจและเป็นลูกค้าเรามานาน 5-6 ปี เลยยินดีที่จะเป็นพรีเซนเตอร์ให้ ก็เป็นหนึ่งสิ่งที่ทำให้ภาพลักษณ์แบรนด์เป็นที่น่าเชื่อถือ หรือในมุมของซัพพลายเออร์เองก็ยกให้เราเป็นผู้นำด้านความงาม คือในวงการความงามจะรู้กันว่าเวลามียาหรือนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาในประเทศไทย ก็จะเลือกมานำเสนอที่ THE KLINIQUE เป็นที่แรกๆ หลายแบรนด์ก็ชวนให้เป็น Co-Partner Exclusive และบางครั้งเราก็ได้รับข้อเสนอเรื่องราคาที่ดีกว่า นั่นเกิดจากภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์

 

“นอกจาก 3 เสาหลักที่เล่าไป ยังมีจุดแข็งที่เป็นรากฐานของ THE KLINIQUE คือ ระบบบัญชี การเงิน การจัดการสต๊อกสินค้า เพราะในแต่ละวันทุกสาขามีทั้งลูกค้าที่ชำระเงินสด ชำระผ่านบัตร และตอนนี้มีระบบ Online Payment จึงต้องจัดการบัญชีทุกวัน หรืออย่างระบบสต๊อก ด้วยความที่เรามีสาขาเยอะ ก็ต้องทำแบบ Real Time รวมถึงระบบหลังบ้าน ฐานข้อมูลลูกค้าต้องเสถียร เพราะเรามีฐานลูกค้าระดับบนกว่า 2 แสนราย ซึ่งข้อมูลประวัติการรักษาจะลิงก์กันทุกสาขา ระบบ Back Office จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่ซัพพอร์ต 3 เสาหลัก ทำให้เราแข็งแกร่งเหนือกว่าคู่แข่ง”

 

THE KLINIQUE

 

The Best Experience หัวใจสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคไว้ใจไม่เปลี่ยนแปลง

หากมองจากมุมผู้บริโภค นอกจากบุคลากร นวัตกรรม และภาพลักษณ์ ยังมีสิ่งเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ THE KLINIQUE ติดอยู่ใน Top of Mind ของพวกเขาก็คือ ‘บริการที่เป็นเลิศ’ ซึ่งสอดคล้องไปกับวิสัยทัศน์ของแบรนด์

 

“วิสัยทัศน์ของเราคือ ‘Customer Centric’ ต้องรับฟังเสียงของลูกค้า มองว่าเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เราปรับตัวตลอดเวลาตามความต้องการของผู้บริโภค เรามีทีมที่ปรึกษาที่คอยให้คำปรึกษาลูกค้า หรือแม้แต่แพทย์ของเราก็ต้องให้ความสำคัญกับการให้คำปรึกษา เราจึงจัดให้มีการสอน Consultation Skill เพราะเราเชื่อว่าผลการรักษาจะดีไม่ดีขึ้นอยู่กับการให้คำปรึกษาตั้งแต่เริ่มต้น แม้แต่หลังเข้ารับบริการ เราได้ทำระบบที่ชื่อว่า Customer Experience Management: CXM Platform หลังจากลูกค้าเข้ารับบริการแล้วสามารถสแกน QR Code เพื่อเข้าไปคอมเมนต์ได้ทันที จากนั้น AI จะจัดเรียงข้อมูลเข้าไปในหมวดต่างๆ สามารถดึง Data มาดูและวิเคราะห์ได้ว่าลูกค้าพึงพอใจเรื่องอะไรมากที่สุด แต่ถ้าเป็น Negative Feedback ระบบจะส่งไปแจ้งคนที่รับผิดชอบเพื่อปรับปรุงและแก้ไขทันที”

 

เติบโตแบบมั่นคง ‘ไร้หนี้’ ขยายกว่า 40 สาขา ภายใน 13 ปี

จนถึงตอนนี้ THE KLINIQUE มีสาขาทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 41 สาขา แบ่งเป็น คลินิกเวชกรรมจำนวน 37 สาขา ศูนย์ศัลยกรรมจำนวน 1 สาขา และร้านทำเล็บจำนวน 3 สาขา มีบริการทั้งหมด 4 แผนก คือ แผนกผิวหนังและความงาม (Skin and Aesthetic Department) แผนกป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพ (Wellness and Regenerative Department) แผนกศัลยกรรมตกแต่ง (Plastic Surgery) และจำหน่ายเวชสำอาง (Cosmeceuticals)

 

“ตอนเปิดสาขาแรกที่สยามสแควร์ใช้เงินลงทุน 5 ล้านบาท ด้วยเงินลงทุนส่วนตัว ไม่มีการกู้แบงก์ จนถึงตอนนี้ก็เช่นกัน นอกจากนั้นเรายังมีการปันผลให้ผู้ถือหุ้น การลงทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ ขยายสาขา ก็เป็นการลงทุนแบบมีการวางแผน อย่างการขยายสาขาจะมีทีมมาร์เก็ตติ้งลงไปดูตลาดก่อน สำรวจว่า GDP จังหวัดนี้เป็นอย่างไร บางครั้งก็ดึงข้อมูลที่น่าสนใจ เช่น จำนวน Starbucks ในพื้นที่นั้นๆ หรือการที่เราเป็นพาร์ตเนอร์กับศูนย์การค้าเซ็นทรัล ซึ่งเขาเองก็ทำรีเสิร์ชมาก่อนแล้วว่าในรัศมีนี้มีประชากรในพื้นที่เท่าไร ห่างออกไปอีก 1.5 กิโลเมตร มีเท่านั้น จังหวัดรอบนอกมีประชากรกี่คน Traffic เป็นอย่างไร เราใช้ข้อมูลทั้งหมดนี้มาประกอบการตัดสินใจก่อนจะเปิดสาขา

 

“แต่เนื่องจากว่าโมเดลธุรกิจเราเป็นคลินิกเวชกรรมความงามไม่ใช่โรงพยาบาล การลงทุนจะอยู่ในหลัก 10 ล้านบาท จึงมีความยืดหยุ่นมากกว่าในการลงทุน ตอนนี้แพลนเปิดสาขาราว 6-10 สาขาต่อปี โดยจะครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ หัวเมืองใหญ่ และหัวเมืองรอง อย่างปีนี้เมื่อต้นปีเราเปิดไปแล้ว 6 สาขา ล่าสุดเพิ่งเปิดที่ Terminal พระราม 3 และปลายปีจะเปิดสาขา Flagship แห่งที่ 2 ที่เอ็มโพเรียม Flagship แห่งแรกระดับ 6 ดาว ที่พารากอน”

 

หมอเติ้ลยังบอกด้วยว่า สาขาต่างจังหวัดไม่ใช่ว่าแบรนด์ไหนไปเปิดก็รอด เพราะนอกจากจะต้องวางแผนให้ดี คุณต้องไปพร้อมระบบที่ดี ทีมที่ดี และแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ THE KLINIQUE มี

 

THE KLINIQUE

 

ทุกวิกฤตคือโอกาส

ปิดเมือง น้ำท่วม โควิด THE KLINIQUE โดนทุกวิกฤต ไม่เพียงแต่ผ่านมาได้ แต่ทุกวิกฤตกลับสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจ

 

“ต้องยอมรับว่าวิกฤตทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับ THE KLINIQUE หลายอย่าง อย่างวิกฤตแรกที่โดนเลยคือชุมนุมปิดเมืองที่สยามสแควร์ กระทบตรงๆ เลย เพราะสาขาใหญ่เราอยู่ที่นั่น แต่จุดนั้นแหละทำให้คิดได้ทันทีเลยว่าจะเปิดสาขาแค่ในเมืองไม่ได้แล้ว ต้องกระจายออกไปรอบนอก จึงเกิดเป็นการวางแผนขยายสาขา 

 

“หรือช่วงน้ำท่วม ตอนนั้นเราก็มีสาขาเยอะนะ เวลาโดนถึงจะกระทบแค่บางสาขาก็จริง แต่จะดีกว่าถ้ามันกระทบกับเราน้อยที่สุด ทำให้เริ่มมองว่าเราควรมีสาขาในห้าง กลายเป็นว่าพอเข้าห้าง ภาพลักษณ์แบรนด์ก็ดูดีขึ้นไปอีก การได้ทำเลที่ดีสามารถขยายกลุ่มลูกค้าที่พรีเมียมขึ้น และการจะเปิดสาขาในห้างได้เขาต้องคัดเลือก ดูโปรไฟล์ ดูฐานลูกค้า สิ่งเหล่านี้มันช่วยตอกย้ำความน่าเชื่อถือของแบรนด์เช่นกัน

 

“หนักสุดคือวิกฤตโควิด เพราะต้องปิดทุกสาขา แต่ช่วงนั้นมันทำให้เราเห็นว่าตลาดนี้มีดีมานด์มากขนาดไหน เพราะลูกค้าถามตลอดว่าเปิดเมื่อไร ถ้าเปิดบอกนะจะไปวันแรกเลย ไหนๆ ก็เปิดร้านไม่ได้ เราเลยถือโอกาสรีโนเวต 7 สาขา และเปิดสาขาใหม่ เพราะเห็นแล้วว่ามันมีดีมานด์แน่ๆ

 

“อีกจุดคือคนใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ก่อนหน้านี้แผนก Wellness เราก็ค่อนข้างเป็นที่พูดถึงอยู่แล้ว แต่ช่วงปีนี้แผนก Wellness บูมขึ้น เพราะคนเริ่มใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น อยากสวยจากภายใน เราก็เริ่มจับตลาดนี้มากขึ้น กำลังขยายโซน Wellness ที่สาขา Flagship พารากอน เปิดปลายปีนี้ อนาคตก็จะขยายไปยังสาขาอื่นๆ แน่นอน”

 

THE KLINIQUE

 

ก้าวต่อไปของ THE KLINIQUE

อย่างที่เกริ่นไปตอนต้น ตอนนี้ THE KLINIQUE เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 เป็นที่เรียบร้อย เบื้องต้นคาดว่าเงินระดมทุนที่ได้จะนำไปใช้ในการขยายสาขาคลินิกเวชกรรม ราว 6-10 สาขาต่อปี ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ หัวเมืองใหญ่ และหัวเมืองรอง รวมถึงจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์เพิ่มเติม ประมาณ 950 ล้านบาท คาดว่าจะคืนทุนภายใน 2-3 ปี ส่วนศูนย์ศัลยกรรมจะใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท คาดว่าจะคืนทุนภายใน 3-4 ปี

 

อีกทั้งยังเตรียมนำเงินไปพัฒนาระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของฝ่ายสนับสนุน โดยในส่วนของการพัฒนาระบบ IT งบลงทุนอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มดำเนินงานได้ภายในปี 2566 และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 270 ล้านบาท

 

เมื่อถามถึงความเสี่ยงของธุรกิจ หมอเติ้ลบอกว่า ค่อนข้างมั่นใจว่าตลอดระยะเวลาที่ดำเนินธุรกิจ THE KLINIQUE รักษามาตรฐานการบริการและการดูแลลูกค้าด้วยดีมาตลอด

 

“เราไม่เคยมีคดีฟ้องร้องเรื่องการแพทย์ เรื่องเครื่องมือและอุปกรณ์เราก็เลือกใช้แต่เครื่องมือที่ได้มาตรฐาน U.S. FDA ส่วนเรื่องการเงิน เรามีการวางระบบที่ดี อย่างที่บอก เราไม่มีหนี้ตั้งแต่ต้น และตอนนี้ก็ได้ CFO มืออาชีพมาช่วยบริหารจัดการ แน่นอนว่าเมื่อเข้าตลาดหุ้นจะทำให้เรามีเงินทุนมากกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ เราพร้อมที่จะลงทุนด้านนวัตกรรมและขยายสาขาเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากยิ่งขึ้น”

 

ขณะเดียวกัน การที่ธุรกิจดำเนินภายใต้กรอบ ESG ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น “เราใส่ใจเรื่องของ ESG มาแต่แรกอยู่แล้ว ยาและเวชสำอางเราไม่เลือกใช้สินค้าที่ทำการทดลองกับสัตว์อยู่แล้ว หรืออย่างเครื่องมือแพทย์ นอกจากจะเลือกที่ได้มาตรฐาน U.S. FDA แล้ว ยังดูด้วยว่าการผลิตได้มาตรฐานหรือไม่ Carbon Footprint เป็นอย่างไร

 

“ในอนาคตเราวางแผนที่จะเปิดบริการทำศัลยกรรมให้กับผู้ที่ด้อยโอกาสหรือมีปัญหาที่เกิดจากโรค คาดว่าจะเปิดให้บริการที่ THE KLINIQUE SURGERY CENTER @SIAM SQUARE ซึ่งเป็นศูนย์ศัลยกรรมครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในสยามสแควร์ บนพื้นที่กว่า 700 ตารางเมตร ที่เราเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปี”

 

เมื่อถามหมอเติ้ลในวันที่ THE KLINIQUE ขึ้นแท่นเป็นคลินิกเวชกรรมความงามเจ้าแรกในตลาดหุ้นไทย ขยายสาขาและบริการครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของความงามและสุขภาพ เป็นภาพความสำเร็จที่คิดไว้หรือไม่ เขาบอกว่า “ไม่เคยตั้งเป้าว่าจะต้องประสบความสำเร็จขนาดไหน แต่จะตั้งเป้าหมายว่าแต่ละปีจะทำอะไร สำหรับ THE KLINIQUE ปีนี้ถือว่าประสบความสำเร็จตามแพลนที่วางไว้ ทั้งเรื่องการขยายสาขา ขยายบริการ การพัฒนาทีมบุคลากรและนวัตกรรม ทำให้เรายังเป็น Top of Mind ของผู้บริโภค รวมถึงการนำธุรกิจเข้าตลาดหุ้น ส่วนปีหน้าจะมีแพลนอะไรอยากให้ติดตามกันครับ”


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X