ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (14 กันยายน) ที่ระดับ 36.64 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนจะไหลลงมาเคลื่อนไหวที่ระดับ 36.71 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นการ ‘อ่อนค่าลงหนัก’ จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.27 บาทต่อดอลลาร์ ผลจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์หลังนักลงทุนเริ่มปิดรับความเสี่ยง
พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ตลาดการเงินสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) อย่างรวดเร็ว หลังจากที่รายงานข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวมราคาหมวดอาหารและพลังงานของเดือนสิงหาคม ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 6.3% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ สร้างความกังวลให้กับผู้เล่นในตลาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงต่อเนื่องเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เงินบาทอ่อนค่าทะลุ 37 บาทต่อดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อย ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 16 ปี
- วิเคราะห์ 5 สัญญาณ บ่งชี้ เงินเฟ้อ โลกใกล้ถึงจุดพีค
- 10 อันดับ สกุลเงินเอเชีย ที่อ่อนค่าสูงสุดนับจากต้นปี 2565
ล่าสุดจาก CME FedWatch Tool มองว่า Fed มีโอกาสราว 33% ที่จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยถึง 1.00% ในการประชุมเดือนกันยายน ซึ่งความกังวลดังกล่าวได้กดดันให้ผู้เล่นในตลาดต่างเทขายสินทรัพย์รุนแรง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทค และหุ้นสไตล์ Growth เช่น Meta -9.4%, Amazon -7.1%, Apple -5.9% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทค Nasdaq ดิ่งลงกว่า -5.16% เช่นเดียวกับดัชนี S&P 500 ที่ปรับตัวลดลงถึง -4.32%
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ก็ปรับตัวลงแรงกว่า -1.55% กดดันโดยแรงเทขายหุ้นกลุ่มเทค นำโดย Adyen -8.0%, ASML -4.1% ท่ามกลางความกังวลว่า Fed อาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นบ้างของหุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น Equinor +1.6% หลังราคาน้ำมันดิบไม่ได้ปรับตัวลงรุนแรงเหมือนกับสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ โดยราคาน้ำมันดิบ WTI เคลื่อนไหวใกล้ระดับ 87-88 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มประเมินโอกาส Fed จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงต่อเนื่อง และมองว่าจุดสูงสุดของดอกเบี้ย Fed (Terminal Rate) อาจสูงถึง 4.25-4.50% ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ระยะสั้นอย่างบอนด์ยีลด์ 2 ปี พุ่งขึ้นสู่ระดับ 3.77% ส่วนบอนด์ยีลด์ระยะยาวอย่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี ก็ปรับตัวขึ้นต่อใกล้ระดับ 3.45%
อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่าแม้ตลาดจะมองว่า Fed อาจเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ทว่าผู้เล่นบางส่วนกลับมองว่าการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ Fed อาจยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงหนักและเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า ทำให้ยังคงมีผู้เล่นส่วนหนึ่งทยอยซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะสามารถปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 3.50% ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ไปได้หรือไม่ เพราะหากปรับตัวขึ้นทะลุระดับดังกล่าว อาจส่งผลให้ตลาดบอนด์ยังคงเผชิญความผันผวนในระยะสั้น จากการปรับเปลี่ยนสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) พุ่งขึ้นสู่ระดับ 109.85 จุด จากที่อ่อนค่าลงสู่ระดับ 107.8 จุด ในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานเงินเฟ้อสหรัฐฯ โดยแรงหนุนของเงินดอลลาร์นั้นมาจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่า Fed อาจต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจนกว่าจะคุมปัญหาเงินเฟ้อได้สำเร็จ
นอกจากนี้ภาวะปิดรับความเสี่ยงอย่างรุนแรงของตลาดยังคงหนุนความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) อยู่ อนึ่งการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ ได้กลับมากดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงกว่า -1.4% สู่ระดับ 1,712 ดอลลาร์ต่อออนซ์
อย่างไรก็ดี เริ่มเห็นแรงซื้อของผู้เล่นบางส่วนกลับเข้ามา ทำให้ราคาทองคำยังสามารถทรงตัวเหนือระดับ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมาจากมุมมองของผู้เล่นบางส่วนที่อยากถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เพื่อรับมือความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหนักหรือถดถอยในปีหน้า
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท พูนประเมินว่า อาจเคลื่อนไหวผันผวนในฝั่งอ่อนค่าลงได้บ้าง ตามการกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วของเงินดอลลาร์ โดยเงินบาทผันผวนหนักในช่วงตลาดรับรู้รายงานเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ จริงตามคาด โดยเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าจากระดับ 36.20 บาทต่อดอลลาร์ สู่ระดับ 36.54 บาทต่อดอลลาร์
นอกจากนี้ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดอาจกลับมากดดันให้นักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรหุ้นไทยออกมาได้บ้าง ซึ่งต้องจับตาแรงขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติว่าจะรุนแรงขนาดไหน อย่างไรก็ดี เรามองว่าแรงขายหุ้นไทยโดยนักลงทุนต่างชาติอาจไม่รุนแรงมากนัก เนื่องจากสัดส่วนใหญ่ของตลาดหุ้นไทยคือหุ้นกลุ่ม Old Economy ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อทิศทางดอกเบี้ยหรือบอนด์ยีลด์น้อยกว่าหุ้นกลุ่มเทคที่มีน้ำหนักมากในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
นอกจากนี้ พูนยังมองว่า หากผู้เล่นในตลาดบอนด์ยังคงมองว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ก็อาจทำให้การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวอย่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี เป็นไปอย่างจำกัด เพราะผู้เล่นในตลาดอาจรอจังหวะทยอยซื้อในช่วงบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นได้ ซึ่งเรามองว่านักลงทุนต่างชาติอาจรอจังหวะดังกล่าวเช่นกัน ทำให้โดยรวม Fund Flow อาจไม่ได้ไหลออกจากตลาดทุนไทยรุนแรง แม้ว่าตลาดจะกลับมากังวล Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง
ทั้งนี้ อีกตัวแปรที่ต้องจับตาคือ Flow ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะราคาย่อตัว ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงในระยะสั้นได้ แต่หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ ก็จะสามารถช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้เช่นกัน (Correlation เงินบาทกับราคาทองคำสูงกว่า 72%)
อนึ่ง การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเผชิญแนวต้านในช่วง 36.75-36.80 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้ส่งออกจำนวนมากอาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ในระดับดังกล่าว ส่วนแนวรับในระยะนี้จะยังคงอยู่ในช่วง 36.20-36.30 บาทต่อดอลลาร์
พูนกล่าวย้ำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของหลายปัจจัย เช่น การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed หรือแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงแนะนำให้ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก
โดยมองกรอบเงินบาทวันนี้ (14 กันยายน) คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.55-36.80 บาทต่อดอลลาร์
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP