วันนี้ (8 กันยายน) อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงจุดยืนของพรรคภูมิใจไทยในการลงมติร่างรัฐธรรมนูญ 4 ฉบับ เพื่อ ‘ปิดสวิตช์ ส.ว’ เมื่อคืนนี้ว่า จะไม่เป็นปัญหาในการทำงานกับรัฐบาล เพราะเป็นการทำตามหลักการประชาธิปไตย ไม่ได้มีเรื่องกับใคร ตนพูดมาตลอดตั้งแต่การหาเสียงเลือกตั้งปี 2562 ไม่ใช่มาพูดเมื่อวานว่าจะต้องเลือกนายกรัฐมนตรีจากตัวแทนที่มาจากการเลือกของประชาชน แต่เราไม่ได้เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญ เราจึงมีหน้าที่เคารพกฎหมาย แต่เมื่อมีการเสนอแก้ไขโดยมีวัตถุประสงค์หลักให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรี เราไม่มีทางเลือกอื่น สิ่งที่บอกว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นประชาธิปไตยนอกระบบ เป็นสิ่งที่ยืนยันให้เห็นว่า เมื่อถึงเวลาที่เราต้องแสดงความชัดเจนในหลักการประชาธิปไตย เราก็พร้อมที่จะทำ
ส่วนที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 4 ฉบับถูกตีตก การเลือกตั้งครั้งหน้ายังใช้กติกาเดิมคือสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) มีสิทธิโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี อนุทินกล่าวว่า เราไปเสียเวลากับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์อะไร และการเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มาเป็นระบอบประชาธิปไตยเหมือนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา การเลือกตั้งครั้งหน้าทุกคน Handicap (แต้มต่อ) เท่ากัน ต้องเข้าไปแข่งขันให้ประชาชนเลือกเข้ามา ตนเชื่อว่า ส.ว. จะมีดุลพินิจในการเคารพเสียงของประชาชน เอาไว้ให้เกิดเหตุก่อนแล้วค่อยว่ากัน สำหรับตนไม่เชื่อว่าจะมีนายกรัฐมนตรีที่มีเสียงจาก ส.ส. ไม่ถึงครึ่งกึ่งหนึ่ง แล้วมาบวกกับ ส.ว. เกิน 375 เสียง ซึ่งตนพูดมาตลอดว่าถ้าเกิดขึ้นจริง นายกรัฐมนตรีคนนั้นคงเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในโลก และคงไม่มีใครกล้ารับตำแหน่งที่มาจากวิถีทางนั้น เชื่อว่าอย่างไรก็จะต้องมีนายกรัฐมนตรีที่มีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของ ส.ส. ในการที่จะบริหารราชการแผ่นดิน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การเลือกตั้งครั้งหน้านายกรัฐมนตรีจะมาจากสายพลเรือน เพราะอำนาจ 3 ป. เหลือเพียงแค่ปีเดียว อนุทินกล่าวว่า ไม่เกี่ยว เพราะเรายึดถือหลักว่าคนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีมาจากคนที่ประชาชนเลือกมา และจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีประชาชนเป็นกำแพงคอยสนับสนุน ซึ่งถือเป็นหลักประชาธิปไตยพื้นๆ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ส.ว. จะโหวตให้นายกรัฐมนตรีที่มีเสียงมากที่สุดใช่หรือไม่ อนุทินกล่าวว่า ในทางทฤษฎีต้องเชื่ออย่างนั้น เพราะไม่ว่าจะเป็น ส.ส. หรือ ส.ว. ก็คือคนที่กินเงินเดือนจากภาษีประชาชน จะต้องตอบสนองความต้องการของประชาชน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้านายกรัฐมนตรีได้รับเสียงเกิน 250 เสียง ส.ว. จะไม่กล้าฝืนใช่หรือไม่ อนุทินอึ้งไปสักครู่ก่อนกล่าวว่า ให้มันเกิดขึ้นก่อน แต่ถ้าเกิน 250 เสียง แล้ว ส.ว. ฝืนไปเลือกอีกคนที่มีคะแนนน้อยกว่า 250 เสียง ก็บอกแล้วว่าคนคนนั้นจะน่าสงสารที่สุด แล้วจะทำงานได้อย่างไร แม้ว่า ส.ว. จะพามาได้ แต่ ส.ว. ประคองไม่ได้ สมมติว่าจะเอาแบบนั้นมาถึงมือพวกตนในฐานะ ส.ส. เคยเห็นคนโยนไก่ให้จระเข้หรือไม่
