×

โบรกเตือน ระวังแรงขายทำกำไรหุ้น mai หลังราคาพุ่งแรงสวนทางผลดำเนินงานที่ส่อชะลอตัว

26.05.2022
  • LOADING...
หุ้น mai

นักวิเคราะห์หวั่นหุ้นกลาง-เล็กถูกแรงเทขายรับความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัว ต้นทุนพลังงานและการผลิตพุ่ง แต่อาจขยับขึ้นราคาขายไม่ทัน ขณะที่เม็ดเงินลงทุนในตลาดจ่อสลับไปลงทุนในหุ้น Value Play และหุ้นปันผลแทน พร้อมแนะเลือกลงทุนรายตัว เน้นที่มีผลประกอบการแข็งแกร่ง 

 

ความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจส่งสัญญาณชะลอตัวทั่วโลก ต้นทุนพลังงานปรับตัวขึ้นสูงสวนทางกำลังซื้อทั่วโลกที่เริ่มส่อแววลดลง อีกทั้งต้นทุนทางการเงินที่กำลังจะปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ธุรกิจขนาดกลาง-เล็กถูกมองว่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าภาคธุรกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากมีเกราะป้องกันความเสี่ยงเตี้ยกว่า และด้อยอำนาจในการปรับขึ้นราคาเพื่อประคอง Margin 

 

นอกจากนี้ปรากฏการณ์หุ้น Growth Stock ในสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคที่เติบโตมาจากสตาร์ทอัพ ถูกเทขายต่อเนื่องจนหุ้นหลายบริษัททำราคาต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดความกังวลต่อ Sentiment และปัจจัยพื้นฐานของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ mai 

 

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีจนปัจจุบัน (25 พฤษภาคม) ดัชนี mai ปรับตัวขึ้นมากว่า 10.22% เทียบกับดัชนี SET ที่ติดลบ 1.96% ขณะที่ผลดำเนินงานช่วงไตรมาสแรกแม้จะเติบโต 4% แต่แนวโน้มไตรมาส 2 อาจไม่สดใสนัก ดังนั้นนักลงทุนคงต้องระวังแรงขายทำกำไรออกมาในช่วงนี้

 

ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า กล่าวว่า หากประเมินจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ในไตรมาส 1/65 ที่อยู่ราว 2,687 ล้านบาท (จาก 178 บริษัท) ซึ่งเพิ่มขึ้น 4%YoY ที่มีกำไรสุทธิ 2,582 ล้านบาท​ (176 บริษัท) จะเห็นว่าแม้กำไรสุทธิของ บจ. mai จะเพิ่มขึ้น แต่ก็ขึ้นในอัตราที่ไม่มาก จึงทำให้เกิดความกังวลต่อแนวโน้มกำไรในไตรมาส 2/65 เนื่องจากเป็นไตรมาสที่มีปัจจัยลบทางเศรษฐกิจมากกว่าไตรมาส 1 อย่างมีนัยสำคัญ 

 

โดยความเสี่ยงประกอบด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ที่จะส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินภาคธุรกิจในที่สุด ผลพวงจากสงครามรัสเซียยูเครนและการคว่ำบาตรรัสเซียที่ทำให้ต้นทุนพลังงานเพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่บีบคั้นให้ต้องปรับขึ้นราคาขายสินค้า และแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่กระทบต่อกำลังซื้อผู้บริโภค 

 

ทั้งนี้ บจ. mai ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กและขนาดกลาง ดังนั้นในการรับมือกับความเสี่ยงจึงมีจำกัด หากเทียบกับบริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนใน SET และหากมองไปข้างหน้า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก ในขณะที่ความสามารถในการรับมือความเสี่ยงของ บจ. mai ค่อนข้างเปราะบางเมื่อเทียบกับบริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่ 

 

นอกจากนี้ บจ. mai ส่วนใหญ่มีราคาซื้อขายในตลาดที่ระดับ P/E ค่อนข้างสูง เพราะเป็นหุ้นที่ถูกคาดหวังเรื่องการเติบโตอย่างมาก (Growth Stock) จึงมีสภาพคล่องไหลเข้ามาเก็งกำไรค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันสภาพคล่องกำลังถูกดึงออกจากระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลพวงจากการดำเนินนโยบาย QT ของ Fed ทำให้เม็ดเงินไหลออกจากหุ้นที่มีความผันผวนสูง เช่น Growth Stock เข้าสู่ Value Play และ Defensive Stock 

 

“จึงเตือนให้นักลงทุนลงทุนในหุ้น mai อย่างระมัดระวังขึ้น โดยเลือกบริษัทที่มีแนวโน้มผลประกอบการแข็งแกร่ง ธุรกิจมีความเป็น Value Play และที่ผ่านมาราคาหุ้นมีความผันผวนไม่มาก” ณัฐพลกล่าว 

 

ณัฐชาติ เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ กล่าวว่า หากประเมินจากความสามารถในการรับมือกับความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวแล้ว ยอมรับว่าบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือหุ้นใน mai จะได้รับผลกระทบมากกว่าบริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะความสามารถในการบริหารจัดการ Margin ในสภาวะที่ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น สวนทางกับกำลังซื้อที่อาจจะปรับลดลง ทำให้ไม่สามารถปรับขึ้นราคาขายสินค้าได้ตามจริง และจะสะท้อนสู่กำไรสุทธิที่ปรับลดลงในที่สุด 

 

อย่างไรก็ตาม บจ. mai มีข้อดีคือ มีความยืดหยุ่นสูงกว่าบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้ปรับแผนธุรกิจและปรับโครงสร้างธุรกิจได้รวดเร็วกว่า 

 

ณัฐชาติกล่าวว่า ในด้านราคาหุ้นนั้น แม้หุ้น mai จะมีแรงเก็งกำไรสูงตามสไตล์หุ้น Growth Stock แต่ P/E ก็ไม่ได้แพงมาก จึงไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์ถูกเทขายอย่างหนักเหมือนที่เกิดขึ้นกับหุ้น Growth Stock ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และหากพิจารณาจากการขยายตัวของ m2 (ปริมาณเงินสดหมุนเวียนและเงินฝาก) ล่าสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศ พบว่า m2 ยังอยู่ในเกณฑ์การขยายตัวที่ดี ซึ่งตัวเลข m2 นั้นจะมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับดัชนี mai และ sSET เสมอ  

 

อย่างไรก็ตาม บล.ทรีนีตี้ มองว่า ระยะนี้เงินลงทุนจะมีการ Rotation จากตลาดหุ้นไปสู่ตลาดบอนด์ ซึ่งจะทำให้ความเคลื่อนไหวของดัชนี SET และ mai ซึมและแกว่งตัวในกรอบแคบๆ และจะทำให้หุ้น mai ที่ผลประกอบการไม่แข็งแกร่งถูกขายต่อเนื่อง โดยประเมินว่าหุ้น mai จะกลับมาคึกคักอีกครั้งก็ต่อเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ 

 

ด้าน กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังน่าจะผันผวนไปอีกราว 1 เดือน – 1 เดือนครึ่ง  จากการดึงสภาพคล่องกลับของ Fed ที่เร่งตัวเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมนี้ ความเสี่ยงต่อการขายทำกำไร โดยหุ้น Outperform ตลาดก็มีโอกาสเห็นการ Take Profit รายตัว แต่กรณีหุ้นขนาดกลางและเล็กบางตัวที่แนวโน้มผลประกอบการยังเชิงบวก และ Valuation ไม่ได้ตึงตัวมาก เราอาจเห็นเพียงแค่การปรับฐานของราคา

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X