วันนี้ (20 พฤษภาคม) จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงผลการหารือทวิภาคี (Bilateral Discussions) กับ แคทเธอรีน ไท ผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์
จุรินทร์กล่าวว่า มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ปี 2564 มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 1.77 ล้านล้านบาท ถือเป็นคู่ค้าสำคัญลำดับที่ 3 ของไทย รองจากจีนและญี่ปุ่น โดยไทยได้ดุลสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกลำดับ 1 ของไทย โดยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯ 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 1.31 ล้านล้านบาท สินค้าส่วนใหญ่ที่ส่งไปสหรัฐฯ เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณี เครื่องประดับ รถยนต์และอุปกรณ์ยานยนต์ เป็นต้น
ประเด็นที่ตนหารือกับรัฐมนตรีผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ มี 3 ประเด็นสำคัญ
ประเด็นที่ 1 คือ ขอให้สหรัฐฯ พิจารณาถอดไทยออกจากบัญชีจับตามอง (Watch List: WL) ด้านทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจะมีการพิจารณาอีกครั้งหนึ่งในเดือนกันยายนปีนี้ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยถือว่ามีความคืบหน้าอย่างยิ่งในการดำเนินการจัดการการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรม รวมทั้งมีกฎหมายทางด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่มีความทันสมัย และมีรายงานจากผู้แทนของสหรัฐฯ ที่มาติดตามความคืบหน้าการดูแลด้านทรัพย์สินทางปัญญาของไทย โดยรายงานเป็นไปในทางบวกที่มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมแล้ว
ประการที่ 2 คือ ตนขอให้สหรัฐฯ สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบ และแหล่งลงทุนด้านการผลิตวัตถุดิบทั้งขั้นต้นและขั้นกลางให้กับสหรัฐฯ ตามนโยบายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ชื่อว่า ‘Supply America’ ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ โดยวัตถุดิบที่จะเป็นวัตถุดิบขั้นกลางในการสนับสนุนการผลิตขั้นต่อไปในสหรัฐฯ ตนได้เชิญชวนมาลงทุนที่เมืองไทย เช่น การผลิตแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า การลงทุนด้านวัตถุดิบเกี่ยวกับอาหาร ยา การลงทุนด้านเซมิคอนดักเตอร์ เป็นต้น
ประการที่ 3 เนื่องจากปีนี้เราเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC และตนเป็นประธานการประชุมรัฐมนตรีเขตเศรษฐกิจการค้า 21 เขตเศรษฐกิจ ได้ขอให้สหรัฐฯ ช่วยสนับสนุนการออกแถลงการณ์ร่วมที่เป็นผลจากการประชุมครั้งนี้ ซึ่งสหรัฐฯ ไม่มีประเด็นขัดข้อง
ส่วนประเด็นที่สหรัฐฯ หยิบยกมาคุยกับตนมีด้วยกัน 3 ประเด็นหลัก ดังนี้
ประเด็นที่ 1 สหรัฐฯ แจ้งว่าจะสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพ APEC ของประเทศไทยในปีนี้ และสนับสนุนการทำหน้าที่ประธานการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจการค้าของ APEC และที่สำคัญปีหน้าสหรัฐฯ จะเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC ต่อจากประเทศไทย ซึ่งได้ขอให้ช่วยสนับสนุนด้วยเช่นเดียวกัน และขอเชิญผู้แทนจากประเทศไทยทั้งภาครัฐและเอกชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมกับสหรัฐฯ ต่อไปในปีหน้า
ประเด็นที่ 2 เรื่องการประชุมองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือ โดยทั้งไทยและสหรัฐฯ มีความเห็นที่สอดคล้องกันในภาพรวม เพราะล้วนประสงค์ผลักดันให้มีการประชุมระดับรัฐมนตรี WTO หรือที่เรียกว่า MC12 (Ministerial Conference) เกิดขึ้น โดยมีประเด็นสำคัญ เช่น การปฏิรูป WTO การจัดตั้งองค์กรอุทธรณ์ของ WTO ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะมีความสำคัญสำหรับกรณีข้อพิพาทที่เกิดขึ้น เนื่องจากเมื่อองค์กรพิจารณาข้อพิพาทขั้นต้นได้มีคำตัดสินแล้ว ยังสามารถอุทธรณ์ไปยังองค์กรอุทธรณ์ได้ แต่ขณะนี้องค์กรอุทธรณ์ยังไม่มีการจัดตั้งขึ้น ต้องรอผลการประชุมร่วม WTO ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งมีความสำคัญในการช่วยยุติข้อพิพาทระหว่างสมาชิก เห็นควรให้จัดตั้งองค์กรนี้โดยเร็ว
ประเด็นที่ 3 เรื่องกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก และแจ้งให้ประเทศไทยและตนรับทราบ และเชิญประเทศไทยเข้าร่วมในการประกาศเจตนารมณ์จัดตั้งกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก ที่กรุงปารีสในช่วงประมาณวันที่ 11 มิถุนายน 2565 ซึ่งตนแจ้งว่าคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้วเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แจ้งความประสงค์ในการเข้าร่วมการแสดงเจตนารมณ์เจรจาต่อไป สำหรับการเชิญรัฐมนตรีพาณิชย์เข้าร่วมประชุมที่ปารีสนั้น ตนรับทราบเป็นการเบื้องต้นไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 21-22 พฤษภาคมนี้ จะมีการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจการค้า APEC ซึ่งสหรัฐฯ จะเข้าร่วมการประชุมด้วยตลอด 2 วัน ถ้ามีประเด็นอะไรเพิ่มเติมก็จะหยิบยกขึ้นมาหารือกันในที่ประชุมเพิ่มเติมอีกครั้ง