วานนี้ (13 พฤษภาคม) ที่ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) สกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) หมายเลข 3 จัดเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งแรกเพื่อนำเสนอนโยบาย และเปิดตัวคณะทำงานอย่างเป็นทางการ
ช่วงก่อนที่สกลธีจะเริ่มปราศรัย ได้มีบุคคลที่ชื่นชอบและสนับสนุนสกลธี ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวที เริ่มต้นที่ แอดมินเจน ผู้ดูแลเพจเฟซบุ๊ก ‘เชียร์ลุง’ กล่าวว่า ที่ตัดสินใจลงคะแนนเสียงให้สกลธีเพราะได้ดูรายการสัมภาษณ์ตัวแทนกลุ่มหาบเร่ แผงลอย ที่เคยพูดว่าทุกครั้งที่มีปัญหาและต้องการติดต่อ กทม. จะติดต่อกับสกลธีได้เพียงคนเดียว ส่วนตัวมองว่าสกลธีอยู่ช่วงวัยระหว่างรอยต่อคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ จึงเป็นข้อดีที่จะนำเทคโนโลยีมาประยุกต์เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดมานานแล้ว ส่วนเรื่องนโยบายจัดการงบประมาณที่สกลธีเสนอไว้ก็มองว่าจะเกิดประโยชน์กับคนกรุงเทพฯ
ด้าน พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ระบุว่า ขอยืนยันว่าตนไม่ใช่หัวคะแนน และที่เดินทางมาครั้งนี้ไม่ได้หวังประโยชน์ใดจากสกลธี แต่อยากบอกว่าตนเชื่อว่าสกลธีไม่ได้มาเพื่อแพ้ แต่มาเพื่อทำงานเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่จะมุ่งพัฒนาเมือง
พล.ต.นพ.เหรียญทองยังระบุว่า สกลธีคือเพื่อนร่วมรบของตน ตั้งแต่วันที่สู้เพื่อบ้านเมือง สกลธีอยู่ด้วยตลอดมา ผ่านช่วงคุกตารางมาด้วยกัน แม้จะไม่ได้สนิทเป็นการส่วนตัว แต่เห็นว่าทำงานเพื่อกรุงเทพฯ มานานแล้ว ฉะนั้นหลังจากนี้มั่นใจว่าสกลธีและทีมงานจะทำงานต่อได้ เพราะจะมีแนวร่วมที่มีศักยภาพจากภาคประชาชนและตนคอยสนับสนุนในทุกอย่างที่ต้องการ
พล.ต.นพ.เหรียญทองกล่าวต่อว่า ไม่ขอทิ้งเพื่อนที่ร่วมทุกข์ในยามยากฉันใด ไม่เคยทิ้งใครสักคนฉันนั้น วันนี้ไม่ขอพูดว่าผู้สมัครคนไหนที่เลวร้าย แต่จะขอพูดว่าต้องเลือกคนที่ดีที่สุด ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนหนุ่มแต่ต้องเป็นคนที่มีเจตนารมณ์ที่ชัดเจน มีความรู้ความสามารถ ไม่เพ้อเจ้อ และเชื่อว่าสกลธีจะเป็นคนที่สามารถเชื่อมต่อความขัดแย้งทางการเมืองได้แม้จะมีอุดมการณ์ชัดเจนในการปกป้องสถาบันฯ แต่เป็นคนที่ไม่มีอคติ และมีความคิดเห็นที่จะพัฒนาชุมชนเมือง
ต่อมาเวลา 19.20 น. สกลธีขึ้นเวทีปราศรัย กล่าวว่าการเลือกตั้งครั้งนี้สำคัญมากกับคนกรุงเทพฯ ซึ่งต้องยอมรับว่ามีผู้ร่วมลงสมัครหลายคนมาก แต่ละคนมีการนำเสนอนโยบาย จุดดีจุดเด่นหลากหลาย ซึ่งถือเป็นข้อดีของคน กทม. ที่จะได้มีนโยบายมาให้เลือกสรร
ทั้งนี้หลายคนอาจจะได้รู้จักตนมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 เพราะอยู่ในแวดวงการเมืองมาตลอดกว่า 16 ปี และตำแหน่งล่าสุดคือการเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. อีก 4 ปี ก่อนจะตัดสินใจลาออกมาลงสมัครในครั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่หลายคนถามมาตลอดว่ากังวลหรือไม่ที่เคยเป็นแกนนำกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)
ขอย้ำว่าไม่เคยเสียใจ และเชื่อมั่นในอุดมการณ์ในขณะนั้นของตัวเองที่ได้ร่วมกับคนไทยอีกหลายล้านคนเพื่อต่อสู้ในหลายเรื่องเช่น พรบ.นิรโทษกรรม โครงการจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายกับประเทศหลายแสนล้าน ตนยืนยันว่าไม่เคยนึกเสียใจ
สกลธีกล่าวถึงบทบาทที่จะเป็นนักบริหาร ว่า จะเป็นผู้ว่าฯ ที่หาเงินเข้าเมืองเพิ่มให้ได้ เช่น การทำ City Tax เรียกเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา และการจัดการขยะ ที่มองว่าที่ผ่านมาการเก็บขยะของ กทม. ถือว่าล้มเหลว เรื่องนี้ต้องปรับให้เอกชนจัดการให้เบ็ดเสร็จ ส่วนรายได้ที่เพิ่มมาจะนำเงินส่วนนี้ไปพัฒนาระบบสวัสดิการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต
สำหรับช่วงสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้ง ทราบมาว่ายังมีคนที่ไม่ตัดสินใจเลือก ตนก็จะหาเหตุผลที่สนับสนุนให้เลือกสกลธี ซึ่งมี 4 ข้อ 1. อยู่ในวัยทำงาน อายุ 44 ปี มีไฟในการทำงานเต็มที่ 2. มีประสบการณ์ทำงานการเมืองของกรุงเทพฯ เรียนรู้อุปสรรค มีวิธีแก้ไขปัญหา และยืนยันว่าจะทำงานตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เข้าศาลาว่าการกรุงเทพฯ 3. จะเป็นผู้ว่าฯ ที่หาเงินได้ ใช้เงินเป็น และครอบคลุมทุกพื้นที่ของเมือง 4. ทีมงานทั้งหมดไม่มีสายสัมพันธ์ทางการเมือง ทุกคนที่ตนคัดเลือกมาร่วมงานเพราะฝีมือ และที่สำคัญ การตัดสินใจไม่อยู่พรรคการเมืองใด ลงอิสระเพราะไม่ต้องตอบแทนใครทั้งนั้น
หลังจบปราศรัย สกลธีได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ระบุว่า กรณีผลโพลต่างๆ ไม่กังวลใจ เพราะอยู่วงการการเมืองมา 16 ปี ผลโพลก็มีทั้งไม่จริงบ้าง หักปากกาบ้าง รวมไปถึงโพลเพื่อยุทธศาสตร์บ้าง ดังนั้นจึงไม่นำมาคิดให้รำคาญใจ ดูเป็นหลักเพียงเท่านั้น ส่วนกระแสหลังจากที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ออกตัวสนับสนุนนั้น มีทั้งบวกและลบ ทุกอย่างมีสองด้านเสมอไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม มีทั้งคนชอบและไม่ชอบอยู่แล้ว ใครเชียร์ก็ดีใจทั้งนั้น
สกลธียังกล่าวถึงเรื่องการดิสเครดิตในช่วงโค้งสุดท้ายว่า มีอยู่แล้ว อย่างเรื่องการทำลายป้ายหาเสียง การนำป้ายหาเสียงไปซ่อน หรือว่าการปล่อยข่าวมีอยู่แล้ว แต่เพียงว่าตนอยู่ในวงการการเมืองมา 16 ปี จึงค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีเรื่องเสื่อมเสียใดๆ ส่วนถ้าเรื่องดิสเครดิตก็คงจะมีอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องที่ตนเคยออกไปเป็นแกนนำ กปปส. ซึ่งตนก็ได้กล่าวไปบนเวทีแล้วว่าไม่ได้ซีเรียสเรื่องนั้น ซึ่งภูมิใจและยอมรับ แน่นอนว่าถ้าหากย้อนเวลากลับไปก็จะเคลื่อนไหวอย่างเดิม เพราะเป็นอุดมการณ์และความคิดของตนรวมกับคนอีกหลายคน
ส่วนกรณีที่เคยสังกัดพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน และทางพรรคพลังประชารัฐก็มีการเคลื่อนไหวสนับสนุนบ้าง มีการคาดหวังทีมสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) จากทั้ง 2 พรรคหรือไม่ สกลธีกล่าวว่า ตนมีความชัดเจนอย่างหนึ่งคือ ตนอิสระจริง และไม่ใช่อิสระแบบแกล้งอิสระ แต่ก็ยอมรับว่าคนที่เคยรู้จัก ไม่เฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ก็มีคนที่ลงอิสระแบบอื่น ที่เป็น ส.ก. หรือว่าพรรคอื่นที่ไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐ เริ่มมีการพูดคุยว่าอยากจะมาเปิดตัวร่วมกับตนเอง ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนของการพูดคุยกัน ส่วนเรื่องของการเปิดตัว ส.ก. ก็กำลังดู เพราะว่าบางท่านก็ยังอยู่ในนามพรรค อาจจะมีคนถอดเสื้อพรรคมาอยู่กับสกลธีอะไรเช่นนี้
ด้าน ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวภายหลังร่วมฟังการปราศัยใหญ่ ว่า วันนี้ตนเองมาดูในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่โดนตัดสิทธิการเลือกตั้ง สกลธีเป็นหนึ่งคนที่คุ้นเคยมาพอสมควร วันนี้ได้เห็นความตั้งใจของทีมงานที่เข้มแข็ง และเชื่อว่าผู้สมัครผู้ว่าฯ หลายคนก็มีทีมงานที่เข้มแข็งเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้สมัครอิสระหรือไม่อิสระก็มีความเข้มข้นของตัวเอง ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของคนกรุงเทพฯ ที่จะเลือกผู้มีความรู้และความสามารถ ส่วนจะเลือกใครก็เป็นความชื่นชอบของแต่ละบุคคล
ส่วนตนเองตัดสินใจ ชอบใครก็ไม่มีประโยชน์เพราะเลือกไม่ได้ จึงให้เป็นหน้าที่ของประชาชน และมั่นใจว่าคนกรุงเทพฯ ใช้การตัดสินใจอย่างละเอียดในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ สำหรับตนเองเคารพกระบวนการยุติธรรมเมื่อถูกตัดสิทธิทางการเมือง โดนตัดสิทธิเรื่องการเลือกตั้ง ตนก็เคารพและแสดงออกมาโดยตลอด
