เกิดอะไรขึ้น:
SCBS ได้จัดทำบทวิเคราะห์พรีวิวผลประกอบการ 1Q65 ของ บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) ซึ่งคาดว่าจะรายงานผลประกอบการวันที่ 26 เมษายน 2565
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น SCGP ปรับลดลง 1.3%MoM อยู่ที่ระดับ 56.25 บาท แย่กว่า SET Index ที่ปรับตัวขึ้น 1.4%MoM สู่ระดับ 1,681.37 จุด
มุมมองระยะสั้น:
SCBS คาดการณ์กำไรสุทธิ 1Q65 ที่ 1.6 พันล้านบาท ลดลง 26%YoY และ 25%QoQ โดยคาดว่า SCGP จะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 50 ล้านบาท ซึ่งหากตัดรายการนี้ออกไป จะพบว่ากำไรปกติอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท ลดลง 32%YoY แต่เพิ่มขึ้น 13%QoQ โดยกำไรปกติที่ลดลง YoY สะท้อนถึงมาร์จิ้นที่อ่อนแอลง ในขณะที่กำไรปกติที่เพิ่มขึ้น QoQ เกิดจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากอุปสงค์ในตลาดฟื้นตัว และการแสดงผลประกอบการของ Deltalab ในงบการเงินรวมเต็มไตรมาส
ด้านรายได้คาดจะแข็งแกร่งขึ้นสู่ 3.7 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 35%YoY และ 5%QoQ) โดยการเติบโต YoY เกิดจากการทำ M&P (Duy Tan, Intan Group และ Deltalab) และการเติบโตของธุรกิจตามปกติ QoQ เกิดจากราคาผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้นและอุปสงค์ในตลาดที่ฟื้นตัวดีขึ้น
ทั้งนี้เมื่อเทียบ YoY อุปสงค์ในประเทศไทยและอินโดนีเซียจะได้รับผลกระทบจาก 1. การส่งออกที่ลดลงอันเป็นผลมาจากต้นทุนค่าขนส่งสูงและการชะลอตัวของอุปสงค์ในจีน ซึ่ง SCGP คาดว่าปริมาณการส่งออกไปจีนของบริษัท (6% ของยอดขายรวม) จะต่ำกว่าระดับปกติราว 60-70% และ 2. การขาดแคลนวัตถุดิบในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์
อย่างไรก็ดี อุปสงค์มีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้น QoQ โดยได้รับการสนับสนุนจากยอดขายที่ดีขึ้นในกลุ่มอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค ในขณะที่บริษัทที่ SCGP เข้าทำ M&P ล่าสุดนั้น การดำเนินงานเป็นไปตามเป้า ยกเว้น Go-Pak (2% ของยอดขาย) ซึ่งเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์อาหาร (ผลิตในประเทศเวียดนามเพื่อส่งออกไปยังตลาดหลักในสหราชอาณาจักร) เพราะต้นทุนค่าขนส่งสูง
ส่วนราคาผลิตภัณฑ์ใน 1Q65 มีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว YoY แต่เพิ่มขึ้น QoQ สอดคล้องกับราคากระดาษบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนที่แทบไม่เปลี่ยนแปลงที่ 535 ดอลลาร์ต่อตัน เนื่องจากอุปสงค์ระดับต่ำจากจีนทำให้ราคาตลาดลดลงในช่วงปลายไตรมาส ท่ามกลางราคาเยื่อใยสั้นในตลาดที่แข็งแกร่งที่ 670 ดอลลาร์ต่อตัน (เพิ่มขึ้น 2%YoY และ 18%QoQ)
ในขณะที่มาร์จิ้น 1Q65 จะอ่อนแอลง โดยคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะลดลง YoY สู่ 14.8% มีสาเหตุหลักมาจากมาร์จิ้นจากสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรที่อ่อนแอลง เนื่องจากส่วนต่างราคากระดาษบรรจุภัณฑ์กับต้นทุน RCP ในตลาดลดลงสู่ 255 ดอลลาร์ต่อตัน (ลดลง 17%YoY แต่เพิ่มขึ้น 2%QoQ) เพราะต้นทุน RCP ในตลาดยังสูงต่อเนื่อง และส่วนหนึ่งเกิดจากต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับพลังงานที่สูงขึ้น
สำหรับต้นทุนทั้งหมดในปี 2564 นั้น 10% เกิดจากต้นทุนพลังงาน (5% จากต้นทุนถ่านหิน และ 5% จากต้นทุนค่าไฟฟ้าและสาธารณูปโภค) ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า SCGP ได้ทำสัญญาซื้อถ่านหินล่วงหน้าไว้แล้วในสัดส่วน 80% ของปริมาณถ่านหินที่ต้องใช้ทั้งหมด (30% ราคาคงที่ และ 50% ล็อกไว้ที่ราคาที่อิงกับ Benchmark) และวางแผนใช้เชื้อเพลิงทางเลือกเพิ่มขึ้นจาก 27% ในปี 2564 สู่ 30% ในปี 2565 เพื่อทดแทนการใช้ถ่านหิน
มุมมองระยะยาว:
SCBS ปรับประมาณการกำไรปี 2565 ของ SCGP ลดลง 14% เพื่อสะท้อนมาร์จิ้นที่อ่อนแอลง ขณะที่การปรับราคาผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้คาดว่ากำไร 2Q65 จะเพิ่มขึ้น QoQ (แต่ยังอ่อนตัวลง YoY) และกำไร 2H65 จะแข็งแกร่งมากขึ้น HoH จากการปรับราคาผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมต้นทุนที่สูงขึ้น และ YoY จากฐานต่ำของปีก่อนสืบเนื่องมาจากมาตรการล็อกดาวน์ในเวียดนามและประเทศไทย
นอกจากนี้ SCGP ยังคงเป้างบลงทุนในปี 2565 ไว้ที่ 2.0 หมื่นล้านบาท โดย 50% (1.0 หมื่นล้านบาท) จะใช้ลงทุนในดีล M&P ใหม่ (ยังไม่ได้ประกาศหรือรวมในประมาณการผลประกอบการดังกล่าว) อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ต้องติดตาม คือ การเปลี่ยนแปลงในอุปสงค์ตลาด ราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ และต้นทุนพลังงาน