ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยเช้าวันนี้ (7 เมษายน 2565) ดัชนี SET ร่วงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,682.36 จุด ในช่วงแรกของการเปิดการซื้อขาย ลดลง 18.82 จุด จากวันก่อนหน้า หรือเกือบ 1% แรงขายที่เกิดขึ้นออกมาจากหุ้นในกลุ่มพลังงานเป็นหลัก ถัดมาคือกลุ่มธนาคารพาณิชย์
ขณะที่หุ้นรายตัว EA เป็นหุ้นที่กดดันตลาดมากที่สุด จากราคาหุ้นที่ลดลง 4.5% โดยส่งผลต่อดัชนี 1.3 จุด รองลงมาคือ SCC ที่ราคาลดลง 2.6% ส่งผลต่อดัชนี 1 จุด
ส่วนตลาดหุ้นในเอเชียเช้านี้ ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนลบ โดยดัชนีตลาดสำคัญ อาทิ Nikkei 225 ของญี่ปุ่น -1.7% KOSPI ของเกาหลีใต้ -1.5% Taiwan Weighted ของไต้หวัน -0.8% Hang Seng ของฮ่องกง -0.6% และ China A50 ของจีน -0.1%
ทั้งนี้ บล.เอเซียพลัส มองว่า สถานการณ์เงินเฟ้อทั่วโลกสร้างความกังวลมากขึ้น และเป็นแรงกดดันให้ธนาคารกลางใช้นโยบายการเงินตึงตัวในอัตราเร่งมากขึ้น โดยในส่วนของ Fed มีกระแสหนุนให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เร็วขึ้น และให้เริ่มกระบวนการปรับลดขนาดงบดุล (QT) ซึ่งแนวคิดดังกล่าวจะสร้างแรงกดดันให้กับราคาสินทรัพย์ทางการเงินที่ถูกพยุงให้อยู่ระดับสูงด้วยสภาพคล่องส่วนเกิน
ส่วนในไทยเงินเฟ้อก็อยู่ในภาวะที่น่ากังวลมากขึ้น โดยตัวเลขเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.73% และทำให้มีการปรับเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อปี 2565 ขึ้นมาอยู่ที่ 4.5% จากเดิม 1.5% สถานะดังกล่าวทำให้ส่วนต่างระหว่างเงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมากเกินไป อาจเห็นการทบทวนมาตรการทางการเงิน
ส่วนปัจจัยที่กดดันต่อหุ้นกลุ่มพลังงานมาจากราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงกว่า 6 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากประเทศสมาชิกสำนักงานพลังงานสากล (IEA) จะระบายน้ำมันจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์จำนวน 120 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังรายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.85 ล้านบาร์เรล