นภ พรชำนิ ศิลปินหนุ่มที่นุ่มทั้งน้ำเสียงและบุคลิก ติดตามภรรยาผู้ไปเรียนต่อที่ซานฟรานซิสโก อาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกามา 10 ปี และในวันนี้กลับเมืองไทยแล้ว
เชื่อว่าน่าจะมีคนน้อยมากที่เคยฟังนภ พรชำนิ พูดภาษาอังกฤษแบบยาวๆ รวมทั้งพวกเรา ทีมงาน THE STANDARD PODCAST ด้วย หลังพี่นภลงจากเวทีคอนเสิร์ต The Story of Nop Ponchamni (18-19 พฤศจิกายน 2560) ก็บินไปพักผ่อนที่ญี่ปุ่นกับครอบครัว พอกลับมาปุ๊บ พวกเราจึงชวนเขามานั่งคุยกันยาวๆ สบายๆ ที่รายการ We Need To Talk ว่าด้วยชีวิตในซานฟรานฯ และแผนการในอนาคตทั้งเรื่องชีวิตและดนตรี
03.48
นภ พรชำนิ ผู้ติดตามภรรยาไปเรียนต่อ 10 ปี แต่ต้องอยู่ห่างจากภรรยาถึง 5 ปี
ช่วงที่ไปอยู่ที่โน่น ผมกลับมาเมืองไทยบ่อยมากเลยนะครับ อย่างน้อยปีละ 5 ครั้ง นั่นแปลว่า 50 ครั้งในรอบ 10 ปี เท่ากับแต่ละปีผมใช้เวลาอยู่ในเมืองไทยครึ่งปี อเมริกาอีกครึ่งปี คิดดูแล้วคือต้องอยู่ห่างจากภรรยาถึง 5 ปีเชียวนะฮะ (หัวเราะ) เศร้าจัง
ช่วง 10 ปีนี้ไม่ได้ทำงานเดี่ยวของตัวเองจริงจังเลย ทำแต่งานกลุ่ม ทั้ง BOYd-NOP และ BOYdPOD ตอนแรกไม่คิดว่าจะได้อยู่นานอย่างนี้ คิดว่าสัก 3 ปีก็ย้ายกลับมาแล้ว แต่ปรากฏกลายเป็นว่าอยู่ต่อมาอีก 7 ปี หลังๆ เลยมาคิดจริงจังว่าน่าจะทำอะไรสักอย่างให้ชุมชนคนไทยในซานฟรานฯ เป็นกิจกรรมให้คนไทยออกมารวมตัวกัน
06.07
รวมคนไทยเข้าด้วยกันด้วย Treasure Thailand San Francisco
3 ปีแรกในซานฟรานฯ ผมไม่ได้ออกมารวมกลุ่มกับใครเลย เพราะเราคิดว่าเดี๋ยวเราก็กลับแล้ว แต่พอภรรยาตัดสินใจเรียนต่อปริญญาเอก ผมก็รู้เลยว่าอย่างน้อยต้องอยู่ต่ออีกประมาณ 5 ปี ก็เลยเริ่มคิดว่าน่าจะทำอะไรสักอย่างในฐานะคนไทยที่ดีบ้าง เช่น งานอาสา สิ่งที่ผมมีคือเวลา ในขณะที่คนอื่นต้องทำงานหนัก คนไทยที่นั่นเป็นเจ้าของกิจการหรือทำงานในแวดวงธุรกิจอาหารเยอะ มีคนไทย 3 รุ่นในซานฟรานฯ รุ่นแรกคือรุ่นพ่อแม่ เดินทางมาต่อสู้ตั้งรกรากตั้งแต่ยุค 70-80s ผมชื่นชมพวกเขามากเลยนะครับ พวกเขาคือนักบุกเบิกที่ถางทางไว้ให้คนรุ่นหลังอย่างแท้จริง คนรุ่นหลังก็คือรุ่นพวกเรานี่แหละที่ได้ความมั่นคงในชีวิตเพื่อจะได้ไปทำงานตามความฝันของเราจริงๆ โดยไม่ต้องดิ้นรน และรุ่น 3 คือเด็กๆ เรื่องของเรื่องคือคนทั้ง 3 รุ่นนี้ยังไม่รวมตัวกันเท่าไร ผมเลยคิดว่าถ้าเรามี Thai Festival อะไรสักอย่างให้ทุกคนออกมามีส่วนร่วมก็น่าจะดี เขาจะได้มีโอกาสออกมารู้จักกัน ทำงานร่วมกัน และช่วยกันโปรโมตวัฒนธรรมไทยแบบ Modern Thai Culture
ก็เริ่มจากการเข้าไปแนะนำตัวเลย สวัสดีครับ ผมชื่อนภนะครับ ผมมีไอเดียจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ อยากให้ช่วยสนับสนุนหน่อย และทุกคนก็น่ารักมาก ให้ความร่วมมือเต็มที่ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของ Treasure Thailand San Francisco ครับ
10.20
Modern Thai Culture อาวุธสำคัญในการสร้างความภูมิใจของคนไทยในต่างแดน
ช่วงแรกเริ่มผมก็ใช้ดนตรีของผมนี่แหละเป็นเครื่องมือ ใช้เพลงจาก BOYd-NOP พี่บอยจะมาทำงานชุดใหม่ๆ ในแอลเอบ่อยๆ ผมก็จะชวนพี่เขากับ Moonlight Studio Band จากแอลเอมาเล่นคอนเสิร์ต BOYd-NOP ที่ซานฟรานฯ เพื่อหาทุนในการทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องทุกปี ภารกิจเรามีอย่างเดียวเลย นั่นคือโปรโมต Modern Thai Culture
ที่นี่เรามีวัดไทยที่เป็นตัวกลางในการสืบทอดวัฒนธรรมไทยแบบดั้งเดิมอยู่แล้ว ผมเลยอยากทำอย่างอื่นที่แตกต่างออกไป วัฒนธรรมไทยสมัยใหม่ก็หมายถึงอาหารไทย เพลงไทย นวดไทย มวยไทย เราเริ่มจากจัดคอนเสิร์ต แต่ในงานก็จะมีอย่างอื่นด้วย ผมอยากให้คนไทยรุ่นใหม่ๆ ได้เห็นว่าของของเราเหล่านี้เป็นของดี และหวังให้เขาอยากเข้ามามีส่วนร่วม ช่วยกันดูแล และเผยแพร่กันต่อไป แต่จะโดยวิธีการอย่างไรก็ต้องแล้วแต่เขาจะคิดกันเอาเอง
ผมหวังว่า Treasure Thailand San Francisco จะทำหน้าที่อย่างนี้ต่อไปทุกปี ผมเองก็จะกลับไปทุกปีเพื่อไปเป็นส่วนหนึ่งของงานด้วย โดยปกติจะมีการจัดงานปีละสองครั้งในช่วงสงกรานต์กับช่วงเดือนตุลาคม
16.29
3 คำที่อธิบายชีวิตในซานฟรานซิสโกได้ดีที่สุดสำหรับนภ พรชำนิ
คำแรกน่าจะเป็น recharge ผมได้อะไรใหม่ๆ ทุกวัน ซึ่งนำไปสู่คำที่สองคือ new ส่วนคำที่สามคือ fresh อากาศของที่นั่นสดชื่นมากจริงๆ นี่คือของดีที่เราได้ฟรีๆ ทุกวัน
แม้ว่าจะมีสิ่งดีๆ มากมาย แต่สิ่งที่ผมจะไม่คิดถึงเลยในซานฟรานฯ คือคนโฮมเลส มันน่าเศร้านะ พวกเขาไม่ได้เลือกจะมาเป็นคนไร้บ้านหรอก บางคนก็มีปัญหาทางจิต บางคนก็ถูกทำร้ายมา มีปัญหาชีวิตจนมาลงเอยที่ยาเสพติด แล้วหาทางออกไปจากโลกนั้นไม่ได้ ซานฟรานซิสโกเหมือนเป็นเมืองหลวงของคนไร้บ้านไปแล้ว ส่วนหนึ่งผมว่าน่าจะมาจากการที่เป็นเมืองอากาศดีนี่แหละ เพราะนอนข้างถนนได้ ไม่หนาวตาย ไม่ร้อนตาย
21.51
กลับเมืองไทยกับ ‘หมุนตามเธอไป’ ซิงเกิลแรกในรอบ 12 ปี และคอนเสิร์ตใหญ่ The Story of Nop Ponchamni
คอนเสิร์ตสองรอบ คนเต็มทุกที่นั่ง มันเหมือนความฝัน และมันเป็นยิ่งกว่าที่ผมคาดหวัง แค่ทุกคนสละเวลาอันมีค่ามาสนุกด้วยกันที่คอนเสิร์ตผมก็ปลื้มใจจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว
โดยปกติคอนเสิร์ตจะมาทีหลังเป็นการปิดอัลบั้ม แต่คอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นโปรเจกต์ครั้งใหม่ของผม ผมตั้งใจร้องเพลง หมุนตามเธอไป เป็นเพลงสุดท้าย มันเป็นเพลงที่เหมือนจะเศร้านะ แต่มันเป็นการบอกว่านี่คือการเริ่มต้น ขอให้ทุกคนหมุนตามพี่นภไป
25.00
สิ่งที่ชอบที่สุดในการทำเพลง
ขั้นตอนการทำเพลงมีเยอะมาก และคนที่ต้องทำทุกอย่างคือโปรดิวเซอร์ เขียนเพลง เลือกเครื่องดนตรี นักดนตรี วางแผนการโปรโมต ผมมองตัวเองเป็นโปรดิวเซอร์ ผมชอบที่จะดูภาพใหญ่ ภาพรวม และดูแลทุกอย่าง
ตอนนี้ผมวางแผนการออกทัวร์คอนเสิร์ตแล้ว และตั้งใจว่านอกจากจะเป็นความบันเทิง ก็อยากใช้เพลงเพื่อการกุศลด้วย เรื่องนี้ผมได้แรงบันดาลใจจากน้องตูน บอดี้สแลม เลย
ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง ไม่เว้นแม้วงการเพลงที่ก็ถูก digital disruption กับเขาด้วย ผมในฐานะศิลปินและโปรดิวเซอร์ก็ยังคงทำหน้าที่เหมือนเดิมนะ คือทำงานของเราให้ดีที่สุด แต่ด้วยงบที่น้อยลงเยอะ เทียบกับสมัยก่อน โจทย์ก็คือจะทำอย่างไรให้อยู่รอดและทำงานดีๆ ออกมาได้ในงบที่ก้อนเล็กลงมาก โมเดลทางธุรกิจก็คือต้องร่วมงานกับคนที่เชื่อในสิ่งที่คุณทำ เขาต้องคิดอะไรคล้ายๆ กัน และเชื่ออะไรเหมือนๆ กัน แต่ก็ต้องเป็นคนที่อยากทำอะไรใหม่ๆ ที่แตกต่าง เพราะผมไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆ เดิมๆ แต่ก็นั่นล่ะครับ ย้ำว่าภายใต้งบที่น้อยกว่าเดิม (หัวเราะ) แต่มันก็สนุกตรงนี้แหละ มันเป็นความท้าทาย
วงของผม TheGroovetoMatrix-11 สมาชิกทั้ง 11 คนล้วนเป็นอาจารย์สอนดนตรีฝีมือดีจากสถาบันต่างๆ เรารวมตัวกันเพื่อสร้างสิ่งใหม่ๆ เหมือนเราขลุกอยู่ในครัวเพื่อสร้างข้าวผัดจานใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน และหวังว่าคนที่ได้ชิมจะชอบ
ทั้งหมดนี้ยิ่งยืนยันกับผมว่าหัวใจสำคัญของการทำเพลงในยุคนี้คือต้องทำงานร่วมกับคนที่เชื่อมั่นในตัวคุณ เงินซื้อตัวคนเก่งๆ ได้ไม่เท่าเราซื้อเขาด้วยความเชื่อใจ และความมั่นใจ สบายใจที่จะร่วมเดินทางไปกับเรา
30.28
สิ่งที่ค้นพบเกี่ยวกับตัวเอง และรู้สึกว่ามันเปลี่ยนตัวเรา
ผมเป็นคนประเภทที่ชอบมองย้อนกลับไปดูอดีต ผมว่าอดีตเป็นสิ่งมีค่า ไม่ว่ามันจะเป็นอดีตที่สำเร็จหรือล้มเหลว เพราะเราไม่สามารถรู้อนาคตได้ แต่เรารู้อดีตนี่ ถ้าเราศึกษามันดีๆ เราอาจจะไม่ผิดพลาดอย่างที่เราหรือพ่อแม่เราเคยเป็น
32.54
ถ้าให้เลือก จะเลือกยุติสงครามทั้งหมดในโลกเดี๋ยวนี้ หรือจะยุติความหิวโหยทั้งหมดในโลกเดี๋ยวนี้
อยากยุติสงคราม ผมเป็นคนไม่ชอบความขัดแย้งเลย อยากให้มีแต่สันติภาพ
33.40
ถ้าให้เลือก จะเลือกเดินทางย้อนอดีตไป 100 ปี หรือจะเลือกเดินทางไปสู่อนาคตอีก 100 ปีข้างหน้า
ไปอดีตแน่นอน ผมอยากรู้ว่าชาติก่อนผมเป็นใคร ผมเดาว่าน่าจะเป็นข้าราชบริพารในวังสักแห่ง (หัวเราะ)
34.31
ถ้าให้เลือก จะเลือกสูญเสียความสามารถในการดมกลิ่น หรือเลือกสูญเสียความสามารถที่จะนอนหลับแล้วฝัน
เลือกไม่ฝันดีกว่า ผมว่าการไม่ได้กลิ่นแย่กว่ามากเลยนะ (หัวเราะ)
35.34
ถ้าต้องใส่หน้ากากสักใบต่อหน้าคนไปตลอดชีวิต จะเลือกหน้ากากอะไร และห้ามตอบว่าหน้ากากรูปหน้าตัวเอง
ผมอยากลองใส่หน้ากากของสาวอะโกโก้ มันเป็นความฝันว่าผมอยากลองไปเที่ยวและดูโชว์ตามซอยคาวบอยอะไรอย่างนั้นบ้างเหมือนกันนะ แต่ผมไม่เคยไปเลยสักครั้ง เพราะผมคิดว่าถ้าคนเห็นผมไปเที่ยวตามที่อย่างนั้น เขาจะรู้สึกไม่ดีกัน แต่ผมเคารพสิทธิ์ของเขาที่จะเลือกทำงานแบบนี้เพื่อหาเลี้ยงชีพนะ ผมรู้ว่าคนทั่วไปจะมองผู้หญิงเหล่านี้ด้วยความรู้สึกดูถูก ผมอยากรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความเศร้าตรงนั้น และผมอยากไปอยู่ตรงนั้นเพื่อบอกพวกเธอว่า ไม่เป็นไรนะ ผมไม่ตัดสินหรอก ผมนับถือมากเลยที่พวกคุณทำแบบนี้เพื่อครอบครัวและคนที่คุณรัก
- อ่านอีกหนึ่งบทสัมภาษณ์ของ นภ พรชำนิ ที่ The Standard โดย เก้า มีนานนท์ : 10 ปีในซานฟรานซิสโก และการกลับสู่เส้นทางดนตรีครั้งใหม่ของ นภ พรชำนิ
- ผลงานสร้างชื่อของ นภ พรชำนิ : 10 เหตุผลที่ Rhythm & Boyd คืออัลบั้มเพลงไทยที่ดีที่สุด โดย เลเล่เล้
- อีกหนึ่งศิลปินร่วมค่ายที่เคยมาเยี่ยม We Need To Talk แล้วเช่นกัน : น้อย กฤษดา คุยเรื่อง ครอบครัว ของเก่า และการคัมแบ็กทางดนตรี
Credits
The Host สาวิตรี สุทธิชานนท์
The Guest นภ พรชำนิ
Show Creator ภูมิชาย บุญสินสุข
Episode Producers ภูมิชาย บุญสินสุข
อธิษฐาน กาญจนพงศ์
ปวริศา ตั้งตุลานนท์
Episode Editor ภูมิชาย บุญสินสุข
Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ
Coordinator & Admin อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค
Art Director กริณ ลีราภิรมย์
Graphic Designer เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล
Photo อธิษฐาน กาญจนะพงศ์
Proofreader ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
Webmaster จินตนา ประชุมพันธ์
Music Westonemusic.com