ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ราคาเนื้อสุกรที่ปรับตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี โดยราคาเนื้อสุกร (เนื้อแดง) ล่าสุดขยับมาอยู่ที่ราวกิโลกรัมละ 200 บาท มีโอกาสจะขยับสูงขึ้นได้อีกจากปัจจัยด้านอุปทาน ประกอบด้วย
- ปัญหาโรคระบาดในสุกรที่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้จำเป็นต้องกำจัดสุกรที่มีความเสี่ยงจำนวนมากเพื่อควบคุมโรค ยิ่งกดดันให้ปริมาณสุกรขาดตลาดมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันยังมีความเสี่ยงต่อโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (ASF) ที่กำลังแพร่ระบาดในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งโรคดังกล่าวยังไม่มีวัคซีนป้องกันและยารักษาโรค
- ต้นทุนการผลิตเนื้อสุกรปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งต้นทุนค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน และต้นทุนค่าอาหารสัตว์ซึ่งคิดเป็นกว่า 70% ของต้นทุนทั้งหมดก็ปรับเพิ่มขึ้น โดยวัตถุดิบที่ใช้ผลิตอาหารสัตว์ส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งมีราคาแพงขึ้นตามค่าขนส่งและยังต้องเสียภาษีนำเข้า เช่น ราคากากถั่วเหลืองปรับเพิ่มขึ้นกว่า 30% ตลอดจนต้นทุนในการควบคุมและป้องกันโรคระบาดในฟาร์มที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มราว 500 บาทต่อตัว
- เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร โดยเฉพาะรายย่อยลดการเลี้ยงสุกรลง บางส่วนปิดกิจการหรืออาจจะยังไม่มีความมั่นใจที่จะกลับมาเลี้ยงสุกรเต็มกำลัง เนื่องจากความต้องการบริโภคเนื้อสุกรในช่วงล็อกดาวน์จากแพร่ระบาดของโควิดระลอกสาม ประกอบกับในช่วงก่อนหน้าภาครัฐขอให้ตรึงราคาเนื้อสุกรไว้ เกษตรกรจึงต้องแบกรับต้นทุนจำนวนมากและเกิดภาวะขาดทุนสะสมมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับในฝั่งอุปสงค์ก็คาดว่าความต้องการบริโภคเนื้อสุกรจะปรับเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีนและช่วงเทศกาลสงกรานต์ ขณะที่ Pent Up Demand จากการกลับมาฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจก็มีโอกาสผลักดันให้ราคาสุกรปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน
จากปัญหาความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานที่ต้องใช้เวลาในการคลี่คลาย รวมถึงปัจจัยด้านฤดูกาลที่สภาพอากาศร้อนอาจทำให้สุกรเติบโตช้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงคาดว่า ราคาเนื้อสุกร (เนื้อแดง) ในช่วงครึ่งแรกปี 2565 จะยังยืนสูงและอาจปรับเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะก่อนช่วงเทศกาลตรุษจีนและช่วงเทศกาลสงกรานต์ ภายใต้สมมติฐานที่การระบาดของโควิดในประเทศไม่ลุกลามจนส่งผลกระทบต่อเส้นทางการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ขณะที่มาตรการต่างๆ ของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการห้ามส่งออก การช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในด้านต้นทุนและมาตรการทางการเงิน โครงการหมูธงฟ้า การขอความร่วมมือผู้ประกอบการค้าปลีกสมัยใหม่ในการตรึงราคา อาจมีส่วนช่วยบรรเทาสถานการณ์ได้บ้าง แต่คงต้องรอจนกว่าผลผลิตสุกรรอบใหม่จะเริ่มทยอยเข้าสู่ตลาดอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง ราคาเนื้อสุกรจึงจะย่อตัวลง
ทั้งนี้ จึงคาดว่าราคาเนื้อสุกรเฉลี่ยตลอดทั้งปี 2565 จะยังคงเคลื่อนไหวในระดับสูง โดยราคาอาจอยู่ในกรอบ 190-220 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นราว 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ขณะเดียวกัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังประเมินว่าการเพิ่มขึ้นของราคาเนื้อสุกรจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งผู้ประกอบการขายปลีกเนื้อสุกร (หมูเขียง) กว่า 5,000 รายทั่วประเทศ เนื่องจากต้องแบกรับต้นทุน ไม่สามารถแข่งขันราคาได้เหมือนผู้ประกอบการรายใหญ่ ทำให้อาจขายได้ปริมาณน้อยลงจนอาจทำให้จำเป็นต้องปิดกิจการ
เช่นเดียวกับผู้ประกอบการร้านอาหาร โดยเฉพาะร้านอาหารที่ใช้เนื้อสุกรเป็นวัตถุดิบหลัก เช่น ร้านชาบู-หมูกระทะ เพิ่งจะทยอยกลับมาฟื้นตัว แต่กลับต้องมาเผชิญกับต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงอีกทำให้หลายรายจำเป็นต้องปรับเพิ่มราคาอาหาร แต่คาดว่าคงเพิ่มราคาได้ในกรอบที่ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาในธุรกิจร้านอาหารมีค่อนข้างสูง
นอกจากนี้ราคาเนื้อสุกรที่เพิ่มขึ้นยังอาจทำให้ผู้บริโภคบางส่วนหันไปบริโภคเนื้อสัตว์อื่นๆ ทดแทน ซึ่งจะผลักดันให้ราคาเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อไก่ปรับสูงขึ้นตาม ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ค่าใช้จ่ายด้านอาหารของผู้บริโภคต่อคนต่อเดือนในปี 2565 จะเพิ่มขึ้นราว 8-10% ซึ่งส่วนนี้ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ ที่ก็เริ่มมีสัญญาณปรับตัวสูงขึ้น เช่น ค่าสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม) ค่าเดินทาง สวนทางกับรายได้ครัวเรือนที่ยังคงเปราะบาง ซึ่งสะท้อนถึงกำลังซื้อครัวเรือนที่น่าจะยังไม่ฟื้นตัวดีนัก