ฟุตบอลโลกรูปแบบใหม่ 2 ปีครั้งจะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่จัด 4 ปีครั้งถึง 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.48 แสนล้านบาท ตามการเปิดเผยโดยสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA)
ประเด็นใหญ่ของวงการฟุตบอลที่ยังต้องจับตามองคือเรื่องข้อเสนอในการปรับรูปแบบการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก มหกรรมลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีผู้ชมหลายพันล้านคนทั่วโลก ซึ่งมีข้อเสนอจากซาอุดีอาระเบีย ที่ต่อมา อาร์เซน เวนเกอร์ ในฐานะประธานฝ่ายการพัฒนาเกมฟุตบอลระดับโลกได้พยายามผลักดันให้มีการปรับรูปแบบการแข่งขันใหม่จากเดิม 4 ปีครั้งเป็น 2 ปีครั้ง
เรื่องนี้ได้ถูกนำเสนอในระหว่างการประชุมที่มีตัวแทนชาติต่างๆ เข้าร่วม ซึ่งในการประชุมออนไลน์ที่มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 207 ชาติจาก 210 ชาติสมาชิก โดย FIFA เปิดเผยผลการศึกษาจาก Neilson ในเบื้องต้นสมาชิกแต่ละชาติจะได้รับเงินสนับสนุนเพิ่มขึ้นเป็น 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 540 ล้านบาทต่อปี แม้จะยังไม่มีการแจกแจงรายละเอียดว่าจะมีการกระจายเงินสนับสนุนอย่างไร
จากนั้นมีการเปิดเผยผลการศึกษาที่ 2 โดย Open Economics ที่ระบุว่าการเปลี่ยนมาจัดฟุตบอลโลกแบบ 2 ปีครั้ง (Biennial Cycle) จะช่วยเพิ่ม GDP มากกว่าเดิมถึง 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6 พันล้านบาทในช่วงระยะเวลา 16 ปี และจะช่วยสร้างงานมากกว่า 2 ล้านตำแหน่ง
จานนี อินฟานติโน ประธาน FIFA กล่าวว่า “ความตั้งใจของเราคือการลดช่องว่างระหว่างชาติสมาชิกของ FIFA และให้ทุกคนได้มีโอกาสที่จะได้ลงแข่งในเวทีระดับโลก”
ขณะที่ทางด้านสหพันธ์ฟุตบอลแห่งชาติยุโรป (UEFA) ได้เปิดเผยผลการศึกษาโดย Oliver & Ohlbaum ด้วยเช่นกัน โดยระบุว่าหากมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันจริงจะทำให้สมาคมฟุตบอลของชาติในยุโรปสูญเสียรายได้ 2.5-3 ล้านยูโร หรือราว 95-114 ล้านบาทในช่วงระยะเวลา 4 ปี จากการสูญเสียสิทธิ์ลิขสิทธิ์สื่อและสปอนเซอร์ต่างๆ
ประเด็นสำคัญที่ UEFA เน้นย้ำในผลการศึกษาคือเรื่องปัญหาสภาพร่างกายและจิตใจของนักฟุตบอลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากโปรแกรมการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น รวมถึงผลกระทบต่อวงการฟุตบอลหญิงที่จะสูญเสียความนิยมเนื่องจากถูกเบนความสนใจจากแฟนบอลและสื่อไป
อย่างไรก็ดี ในการประชุมของ FIFA ครั้งนี้เป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลโดยไม่มีการให้ลงมติแต่อย่างใด แม้ว่าทางด้านอินฟานติโนจะกล่าวอย่างมั่นใจว่า มีจำนวนชาติสมาชิกที่สนับสนุนแนวทางใหม่ก็ตาม
อ้างอิง:
