กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส SCB Chief Investment Office (CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า กลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุนปลายปีนี้ในสินทรัพย์ทั่วโลก เน้นหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป เวียดนาม และเทคฯ จีน มั่นใจระยะยาวมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี
โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง การประกาศทำการลดการเข้าซื้อพันธบัตรตามที่ตลาดคาด (QE Taper Without Tantrum) และตลาดแรงงานสหรัฐฯ ฟื้นตัวดีขึ้นมาก รวมถึงอัตราเงินเฟ้อสูงมีแนวโน้มยืดเยื้อ จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกตั้งแต่มีวิกฤตโควิดในช่วงกลางปี 2022 อย่างไรก็ตาม Fed จะมีการส่งสัญญาณให้ตลาดทราบก่อน
สำหรับตลาดหุ้นในกลุ่ม Emerging Markets มองว่า ตลาดหุ้นเวียดนามยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง หลังมีการกลับมาเปิดเมือง และภาคการส่งออกยังคงเติบโตแข็งแกร่ง สำหรับตลาดหุ้นจีนยังคงมีมุมมอง Neutral โดยเน้นการลงทุนในกลุ่มเทคฯ ด้วยมูลค่าที่ถูก และความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ภาครัฐ (Regulatory Risks) ที่น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
ทั้งนี้ SCB CIO ประเมินหลังธนาคารกลางหลักทยอยประกาศการลดการเข้าซื้อพันธบัตร (QE Tapering) ตลาดการเงินโลกจะเริ่มหันมาให้ความสนใจกับประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed มากขึ้น โดยหลังจากเริ่มส่งสัญญาณตั้งแต่ช่วงกลางไตรมาส 3/2021
โดยล่าสุด Fed ประกาศเริ่มทำ QE Taper ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2021 และน่าจะเสร็จสิ้นช่วงกลางปี 2022 ซึ่งตรงกับที่ตลาดคาดไว้ แต่ด้วยการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดแรงานในสหรัฐฯ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อสูงที่มีแนวโน้มยืดเยื้อถึงกลางปี 2022 ทำให้ตลาดเริ่มคาดการว่า Fed น่าจะส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด โดย SCB CIO คาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังปี 2022F เป็นอย่างเร็ว ส่วนธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างเร็วในปี 2023F
สำหรับการฟื้นตัวในกลุ่มประเทศ ASEAN เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นหลังการเปิดประเทศ มีความคืบหน้าในช่วงไตรมาสที่ 4/2021 อย่างไรก็ตาม กิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่มาจากกำลังซื้อภายในประเทศ เนื่องจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติยังมีจำนวนไม่มากนัก โดยเฉพาะประเทศที่ต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวจากจีน ซึ่งยังคงใช้นโยบาย Zero COVID Policy
กำพลกล่าวต่อไปว่า การขยับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวแบบค่อยเป็นค่อยไป และผลประกอบการที่แข็งแกร่งในตลาด DM ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักสำหรับหุ้นในกลุ่ม Quality Growth ตลาดพันธบัตร Priced-in ประเด็นอัตราเงินเฟ้อในระดับสูงที่น่าจะยืดเยื้อ และการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักที่จะเกิดขึ้นเร็วกว่าคาด ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นขยับขึ้นเร็วกว่าพันธบัตรระยะยาว
ในขณะที่ขนาดโครงการด้าน Infrastructure ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน น่าจะมีขนาดไม่มากเท่ากับที่เคยประกาศไว้ ทำให้การเก็บภาษีรวมถึงปริมาณการออกพันธบัตรรัฐบาลน่าจะน้อยกว่าที่คาด SCB CIO ยังคงมุมมองอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ที่ 1.6-1.8% ช่วงสิ้นปี 2021F โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตามคือการเจรจาต่อรองเพดานหนี้สาธารณะในช่วงต้นธันวาคม ซึ่งเราคาดว่าจะเป็นในลักษณะ Last Minute Deal
สำหรับประเด็นราคาน้ำมันในตลาดโลก แม้ยังอยู่ในระดับสูงแต่เริ่มมีสัญญาณการชะลอตัวลง หลังปริมาณแท่นขุดเจาะน้ำมัน ปริมาณการผลิตน้ำมัน และปริมาณน้ำมันสำรองในสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัว การขยับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวแบบค่อยเป็นค่อยไป และการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่องทำให้เรายังเน้นการลงทุนในกลุ่มประเทศ DM โดยเฉพาะในกลุ่ม Quality Growth
อย่างไรก็ตาม ความกังวลประเด็นอัตราเงินเฟ้อในระดับสูงจะยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อตลาดหุ้นทั่วโลก การมีหุ้นในกลุ่ม Value ใน Portfolio ยังเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อเป็นการป้องกันความผันผวนในช่วงที่ Bond Yields เป็นขาขึ้น
ส่วนกลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก (Asset Allocation Portfolio Strategy) SCB CIO ยังคงมีมุมมองบวกต่อหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป และเวียดนาม รวมถึงแนะนำทยอยสะสมหุ้นกลุ่มเทคฯ ของจีน
- แนะนำเน้นการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป โดยฉพาะหุ้นในกลุ่ม Quality Growth ที่มีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องใน Core Portfolio โดยมีตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่มีการฟื้นตัวต่อเนื่องหลังเปิดเมือง และผลการเลือกตั้งที่เป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้ ใน Satellite Portfolio
- ความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ภาครัฐที่น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว รวมถึง Valuation ที่น่าสนใจ SCB CIO ได้ปรับมุมมองหุ้นจีน H-Share ขึ้นเป็น Neutral โดยเน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคฯ อย่างไรก็ตามกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ยังได้รับแรงกดดันจากความพยายามของภาครัฐที่จะชะลอการเติบโตด้วยการ Leverage ในอุตสาหกรรมนี้ สำหรับตลาด A-Share ยังคงมุมมอง Neutral จากนโยบายมุ่งเน้นเติบโตจากภายในประเทศของจีน เช่น นโยบาย Dual Circulation และ Common Prosperity
- ตลาดหุ้นเวียดนามยังเป็น Top Pick ในตลาดหุ้น ASEAN ในมุมมองของเรา แม้ Valuation เริ่มมีการขยับขึ้นมา แต่ในระยะข้างหน้าเชื่อว่าเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดจะเบียนจะมีการฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของภาคส่งออกตามเศรษฐกิจโลก ความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง น่าจะทำให้การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวต่อเนื่องได้เช่นกัน
- ปรับมุมมองตลาดหุ้นไทยเป็น Neutral หลังจากที่ได้มีการ Priced-in การฟื้นตัวของกำไรในไตรมาส 3/2021 และการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่น่าจะช้ากว่าคาดไปแล้ว ในระยะข้างหน้าเราเชื่อว่าการเปิดเมืองและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยทำให้อุปสงค์ในประเทศฟื้นตัวชัดเจนขึ้น
- คงมุมมองต่อน้ำมันเป็น Neutral โดยคาดว่าจะมี Upside ในช่วงที่เหลือของปีไม่มากนัก จากปัจจัยอุปทานตึงตัวที่ได้ถูก Priced-in ไปแล้ว ส่วนทองคำ คงมุมมองเป็น Slightly Negative จากผลกระทบของ QE Tapering
- ปรับมุมมอง REITs ขึ้นเป็น Slightly Positive โดย DM REITs มีอัตราการเช่า และค่าเช่ารวมถึงผลประกอบการที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และ Asian REITs จะได้อานิสงค์จากการเปิดเมืองที่เริ่มต่อเนื่องมากขึ้น
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP