วันนี้ (14 กันยายน) สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานเดือนแห่งการรณรงค์หญิงตั้งครรภ์เข้ารับวัคซีนป้องกันโรคโควิด ‘1 เดือน 1 แสนราย’ ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยกล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพของประชาชน
โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เมื่อเกิดการติดเชื้อจะมีอาการที่รุนแรงหรือเสียชีวิตได้ และยังส่งผลให้ทารกมีโอกาสคลอดก่อนกำหนด ส่งผลกระทบในระยะยาวต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของทารกที่เป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศในอนาคต รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงขึ้น ซึ่งจากการสำรวจการติดเชื้อโรคโควิดในหญิงตั้งครรภ์ หญิงหลังคลอด 6 สัปดาห์ และทารกแรกเกิด
ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 9 กันยายน 2564 พบว่า มีหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อจำนวน 3,223 ราย เสียชีวิตจำนวน 73 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.26 และทารกแรกเกิดติดเชื้อจำนวน 154 ราย คิดเป็นร้อยละ 8.89 ดังนั้นกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง เมื่อเกิดการติดเชื้อโรคโควิดต้องเร่งให้ได้รับวัคซีนโดยเร็วเพื่อลดความรุนแรงของโรค
ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขได้อาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนขับเคลื่อนเพื่อให้หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง ภายใต้กิจกรรมเดือนแห่งการรณรงค์หญิงตั้งครรภ์เข้ารับวัคซีนป้องกันโรคโควิด โดยมีเป้าหมายคือ ‘1 เดือน 1 แสนราย’ เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน – 13 ตุลาคม 2564 นี้
ด้าน นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า สถานการณ์การฉีดวัคซีนโควิดในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ จากข้อมูลเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม – 9 กันยายน 2564 มีหญิงตั้งครรภ์ได้รับวัคซีนแล้วทั้งหมด 68,435 ราย แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 53,697 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 14,559 ราย และเข็มที่ 3 จำนวน 179 ราย ซึ่งถือว่ายังน้อยมาก
เนื่องจากหญิงตั้งครรภ์ยังมีความกังวลใจและไม่มั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีน แม้ว่าจะได้มีการสื่อสารและให้ความรู้เกี่ยวกับโรคและวัคซีนผ่านช่องทางต่างๆ แล้ว จึงต้องเร่งรณรงค์และสร้างกระแสให้สังคมเกิดความตระหนักว่าหญิงตั้งครรภ์ถือเป็นกลุ่มเสี่ยง ที่ต้องเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคโควิดให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อลดความรุนแรงของโรคและการเสียชีวิต
นอกจากนี้วัคซีนในแม่สามารถส่งต่อภูมิคุ้มกันโรคให้ลูกได้ด้วย ซึ่งหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ หรือ 3 เดือน สามารถติดต่อสถานพยาบาลใกล้บ้านเพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป