YLG วิเคราะห์ทิศทางทองคำหากปีนี้ Fed ลดวงเงินทำ QE มองเกิดผลกระทบเชิงลบ แต่อาจไม่หนักเท่าปี 2556 เหตุปีนี้มี 3 ปัจจัยบวกสำคัญหนุนราคาทองคำในระยะยาว ทั้งปริมาณเงินจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการเงินและการคลังยังอยู่ในระบบมหาศาลบั่นทอนแนวโน้มดอลลาร์ ความต้องการทองคำจากจีน-อินเดียฟื้นตัวตามสัญญาณเศรษฐกิจ รวมถึงเงินเฟ้อยังสูงส่งผลนักลงทุนบางส่วนซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง พร้อมยกข้อมูลปี 2556 ช่วง Fed ลด QE พบราคาทองคำจะตอบสนองในเชิงลบมากสุดก่อน Fed ออกนโยบาย และปรับขึ้นอีกครั้งหลัง Fed เริ่มขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก
ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาด TFEX เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวของทิศทางทองคำในช่วงนี้ยังเป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งตัวในระยะสั้น และพักฐานในระยะกลาง แต่ในระยะยาวสัญญาณยังดูดี ทั้งนี้ปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาทองคำเคลื่อนไหวขึ้นลงสลับกันไปโดยมีปัจจัยหลักมาจากการรอดูทิศทางของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ว่าจะมีการปรับลดวงเงินการทำ QE ภายในปีนี้หรือไม่
อย่างไรก็ดี เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2556 ซึ่งในปีนั้น Fed ได้ทำการประกาศลดการทำ QE ส่งผลให้ราคาทองคำในปีนั้นปรับตัวลดลงถึง 28% ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงของทองคำจากการลดวงเงิน QE ในปี 2556 นั้นจะมีจุดที่น่าสนใจ 3 ข้อ ดังนี้
- ราคาทองคำจะตอบสนองในเชิงลบต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของ Fed มากที่สุดในช่วงก่อนที่ Fed จะดำเนินการลด QE จริง
- ราคาทองคำยังปรับตัวลงต่อในช่วงที่ Fed เริ่มลด QE ครั้งแรกไปจนถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก แต่การตอบสนองเชิงลบไม่มากเท่าระยะแรก และราคามีการปรับตัวลงทำระดับต่ำสุดในเดือนที่ Fed เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก
- ราคาทองคำเริ่มยกฐานขึ้นนับตั้งแต่ Fed เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนธันวาคม ปี 2558
อย่างไรก็ตาม หาก Fed มีการปรับลดวงเงิน QE ในปีนี้มองว่าจะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำที่แตกต่างไปจากเมื่อครั้งปี 2556 เนื่องจากปัจจุบันราคาทองคำไม่ได้เคลื่อนไหวไปตามนโยบาย Fed อย่างเดียว แต่มาจากปัจจัยที่มากขึ้น
และในปีนี้ก็ยังมีปัจจัยบวกที่น่าสนใจ 3 ข้อ ได้แก่
- แม้ Fed จะประกาศลดวงเงิน QE แต่ปริมาณเงินมหาศาลที่ทั้งธนาคารกลางและรัฐบาลอัดฉีดเข้าไปในระบบจะยังไม่หายไปทันที ซึ่งจะส่งผลให้การแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์อยู่ในกรอบจำกัด
- ความต้องการทองคำที่เริ่มฟื้นตัวจากจีนและอินเดีย ซึ่งจีนเป็นประเทศที่สามารถควบคุมการระบาดของโควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอินเดียเองก็เริ่มมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้ความต้องการทองคำกลับมาอยู่ในระดับสูง
- อัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนยังคงเข้าซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง
ดังนั้น มองว่าหาก Fed ปรับลด QE จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อราคาทองคำอย่างแน่นอน แต่อาจจะไม่มากเท่าปี 2556
ส่วนคำแนะนำนักลงทุนนั้น ในระยะสั้นและระยะกลาง ยังสามารถทำกำไรตามรอบ โดยอาศัยการดูแนวรับและแนวต้าน ในระยะสั้นมองแนวรับสำคัญที่ 1,775-1,773 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือ 27,500 บาท แนวรับนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก หากหลุดควรตัดขาดทุน แล้วรอซื้อในแนวรับที่ต่ำกว่า เพราะถ้าหลุดแนวรับนี้ราคาทองคำจะพักฐานที่ลึกมากขึ้น
ส่วนแนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1,809-1,814 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถ้าผ่านได้สามารถเข้าซื้อเพื่อทำกำไรได้ และหากดีดตัวขึ้นไปแนะนำให้ขายทำกำไรออกไปก่อน สำหรับแนวต้านสำคัญมองที่ 1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถ้าผ่านได้ถึงจะเป็นสัญญาณที่ดี
ทั้งนี้ ราคาทองคำล่าสุด (13 กันยายน) อยู่ที่ 1,787.23 ดอลลาร์ต่อออนซ์