บรรดานักลงทุนในตลาดทั่วโลกต่างจับตามองการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่เริ่มขึ้นในวันนี้ (9 กันยายน) ซึ่งมีประเด็นพิจารณาหารือหลักอยู่ที่การลดปริมาณนโยบายกระตุ้นของ ECB และความเป็นไปได้ที่ ECB จะปรับนโยบายการเงินให้กลับคืนสู่ภาวะปกติ เพราะแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นยาวนานขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อของภูมิภาคยุโรปในขณะนี้พุ่งสูงสุดในรอบ 10 ปี
ทั้งนี้นักวิเคราะห์จากทั้งภายในและภายนอกภาคการธนาคารต่างเห็นตรงกันว่า ช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ ECB จะเดินหน้าปรับลดแผนกระตุ้นทางการเงินของตนเอง หลังเศรษฐกิจโดยรวมกำลังฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างช้าๆ และการลดแผนกระตุ้นจะช่วยให้ภูมิภาคยุโรปสามารถรับมือกับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 ปีจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานการผลิต หรือซัพพลายเชน
Holger Schmieding หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่ง Berenberg Bank ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่ ECB จะลดปริมาณซื้อคืนพันธบัตรภายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2021 แต่นักวิเคราะห์ก็มองว่า ECB อาจจะยังไม่แตะต้องแผนกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงโควิดอย่าง Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) ซึ่งเป็นโครงการซื้อคืนพันธบัตรที่ ECB งัดออกมาใช้เพื่อสนับสนุนธุรกิจในเขตยูโรโซน โดย PEPP มีกำหนดสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2022
ปัจจุบัน ECB ซื้อพันธบัตรมูลค่า 80,000 ล้านยูโรทุกเดือนภายใต้โครงการดังกล่าว ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่า ECB มีแนวโน้มปรับลดลงให้เหลือ 70,000 ล้านยูโรเมื่อเสร็จสิ้นการประชุมรอบนี้
ข้ามฟากมาที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่เปิดเผยหนังสือเบจบุ๊ก หรือรายงานภาพรวมของสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งพบว่ามีการฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในตลาดงานและกำลังการบริโภคในประเทศ แต่อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นมีแนวโน้มจะยืดเยื้อยาวนานกว่าที่คาดกาณ์ไว้ และจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ชะลอตัว
ขณะเดียวกันปัญหาโควิดสายพันธุ์เดลตายังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของสหรัฐฯ และกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศ โดยสมาชิกคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ Fed ส่วนใหญ่พึงพอใจกับอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน ที่ล่าสุดเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 3.6%
อ้างอิง:
