อาจกล่าวได้ว่าในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญสถานการณ์ที่ท้าทายและส่งผลกระทบที่คาดไม่ถึงมากมาย แต่เทียบไม่ได้เลยกับวิกฤตโควิดครั้งนี้ที่ทำให้โลกต้องหยุดชะงักและพลิกผัน ไม่ว่าประเทศไหน อุตสาหกรรม ธุรกิจ หรือบุคคลใด ก็ย่อมต้องเจออุปสรรคทั้งสิ้น
ประเทศไทยเองต้องเผชิญกับหลุมดำ สูญเสียรายได้กว่า 2.6 ล้านล้านบาท หนี้ภาคครัวเรือนและหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และอัตราการว่างงานที่อาจเพิ่มสูงขึ้นถึง 3.4 ล้านคนในสิ้นปีนี้ นี่เป็นเพียงบาดแผลส่วนหนึ่งของวิกฤตสุขภาพที่ทุกภาคส่วนต้องจัดการต่อไปอีกหลายปี
วิกฤตโควิดยังเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใน 2 มิติ มิติแรกคือวิกฤตด้านสาธารณสุขที่ส่งผลแบบโดมิโนเอฟเฟกต์ไปยังภาคเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม มิติที่สองคือตัวเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัลอย่างรวดเร็วเป็น 10 เท่าจากเดิม ช่องว่างระหว่างผู้นำกับผู้ตามกว้างขึ้น การปรับตัวให้ทันเวลาจะเป็นตัวชี้วัดว่าใครจะอยู่หรือใครจะไป ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงแบบ K-Curve นี้
ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ได้เผยถึงวิสัยทัศน์ของเซ็นทรัล รีเทล ในงานสัมมนาแบบวิชวล ‘Thailand Focus 2021: Thriving in the Next Normal’ ซึ่งจัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ว่า “เราอยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เราต้องตอบสนอง ปรับตัว ยืดหยุ่นอย่างว่องไว เพื่อที่จะวิ่งตามลูกค้าให้ทัน เพราะตอนนี้ลูกค้ามองหาสิ่งที่ ‘มากกว่า’ จากการลงทุนที่ ‘น้อยกว่า’ พวกเขามองหามูลค่าที่มากขึ้น ตัวเลือกที่มากขึ้น และความสะดวกสบายที่มากขึ้น ภายใต้ความเรียบง่าย อุปสรรค และข้อจำกัดที่น้อยลง เราต้องพร้อมที่จะนำเสนอรูปแบบธุรกิจที่จะตอบโจทย์ความไม่แน่นอนเหล่านั้น”
ที่ผ่านมา เซ็นทรัล รีเทล ได้ปรับตัวอยู่ตลอดโดยเฉพาะการเริ่มพัฒนาแพลตฟอร์ม Omni-Channel มาตั้งแต่ปี 2560 ภายใต้คอนเซปต์ New Central, New Retail ที่กลายเป็นโรดแมปในการดำเนินธุรกิจ และทำให้เซ็นทรัล รีเทล ก้าวสู่การเป็นบริษัทค้าปลีกแบบ Omni-Channel
แม่ทัพ CRC ย้ำว่า ภาคธุรกิจจะต้องปรับตัวเข้าสู่ยุค Next Normal โดยโฟกัสที่เทรนด์ด้านสุขภาพและประสบการณ์เป็นหลัก ทั้งนี้ยังต้องยึดหลักการทำธุรกิจบนการเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเรื่องชุมชนและสิ่งแวดล้อม ให้คุณค่ากับจริยธรรมขององค์กร และคาดหวังให้แบรนด์เป็นผู้นำในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดี
ดังนั้นแบรนด์จะต้องวางเป้าหมายให้ชัดเจน และแสดงให้เห็นถึงความยึดมั่นต่อเป้าหมาย โดยไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด แบรนด์ก็ยังต้องเน้นการให้คุณค่าและการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคในเชิงลึก
“อย่างในสถานการณ์ขณะนี้ ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในเรื่องการจับจ่ายมากขึ้น แต่ก็ให้ความสำคัญต่อสุขภาพ ผู้บริโภคยินดีใช้จ่ายในด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยมากขึ้น พร้อมทั้งมองหาประสบการณ์ที่จะช่วยเชื่อมต่อโลกเสมือนจริงกับโลกที่เป็นอยู่ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน”
ญนน์ระบุว่า บริษัทต้องเป็นองค์กรที่รับฟัง เข้าอกเข้าใจ และมีการสื่อสารที่ชัดเจนกับกลุ่มคนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย
รวมไปถึงต้องปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ โดยโฟกัสไปที่จุดแข็ง เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับองค์กร เช่น ด้านความเร็ว-กล้าตัดสินใจเพื่อตามการเปลี่ยนแปลงให้ทัน ด้านสินทรัพย์-พยายามทำตัวให้เบา เลือกเก็บสิ่งที่มีค่า และกระจายความเสี่ยงออกไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ในด้านการจ้างงานภายใน/ภายนอก และการมองหาพาร์ตเนอร์ รวมถึงการปรับทีมทำงาน-ทำให้องค์กรเคลื่อนตัวได้เร็ว และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเผชิญความท้าทายจากปัจจัยภายนอก
และยังต้องปรับเป้าหมายธุรกิจ ไม่ได้มุ่งเน้นแค่ยอดขายหรือกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับลูกค้า และประสบการณ์ที่สร้างเสริมทักษะให้กับพนักงานเพื่อเพิ่มคุณค่า และสร้างความจงรักภักดีต่อองค์กร อันจะนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว
“ท้ายที่สุดแล้ว เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปสู่สิ่งที่เคยเป็นได้ ต้องมองไปข้างหน้า และปรับเปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจ เพื่อที่จะอยู่ร่วมกับโควิดไปอีกนาน การใช้ชีวิตแบบ 10X DNA จะเป็นตัวเปลี่ยนเกม และกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จที่มากขึ้นและยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วย D-Daring (กล้าที่จะลอง) N-Never Stop (ไม่หยุดยั้ง) และ A-Agile (ยืดหยุ่น ปรับตัวเร็ว) เราต้องกล้าคิดการใหญ่ แต่ทำให้ใหญ่กว่าที่คิด ต้องยอมรับข้อผิดพลาดและพร้อมแก้ไขทันที กล้าที่จะล้มเพื่อเรียนรู้และทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม เราต้องไม่หยุดพัฒนา และไม่เดินหน้าเพียงคนเดียว การจับมือก้าวไปพร้อมกันทำให้เราไปได้ไกลกว่าและมั่นคงกว่า และนี่คือเวลาของการเริ่มต้นใหม่เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ในยุคที่จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป (Never Normal World)” ญนน์กล่าวปิดท้าย