ธนาคารกรุงไทย ประกาศผลดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2564 มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้ เท่ากับ 16,616 ล้านบาท ขยายตัว 4.0% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/64 จากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ขยายตัว ซึ่งมีสาเหตุหลักจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นตามสินเชื่อที่ขยายตัวร้อยละ 5.3 จากไตรมาสที่ผ่านมา โดยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยหรือ NIM ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2.55% จาก 2.50% ในไตรมาสก่อนหน้า ประกอบกับธนาคารบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานลดลง 3.6% โดย Cost to Income Ratio เท่ากับ 42.41% ลดลงจาก 44.25% จากผลประกอบการดังกล่าว ทำให้กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารเท่ากับ 6,011 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.8% จากไตรมาสที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2/63 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้ ลดลง 17.3% จากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ลดลง สาเหตุหลักมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งในช่วงเดียวกันของปีก่อนธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยพิเศษ แต่จากการที่ธนาคารมีการบริหารต้นทุนทางการเงินและสินเชื่อที่ขยายตัวได้ดี รวมถึงการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว อีกทั้งการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/63 ลดลง 45.0% โดยพิจารณาถึง Coverage Ratio ที่อยู่ในระดับสูงเพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ส่งผลให้กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น 60.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับผลประกอบการงวดครึ่งแรกของปี 2564 ธนาคารและบริษัทย่อยได้พิจารณาถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิดระลอกใหม่ จึงได้ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ในระดับสูงจำนวน 16,154 ล้านบาท ส่งผลให้ Coverage Ratio ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 160.7% เทียบกับ 147.3% จากสิ้นปี 2563
ด้านคุณภาพสินทรัพย์ NPLs Ratio-Gross ปรับลดลงอยู่ที่ 3.54% จาก 3.81% ณ สิ้นปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากธนาคารให้ความสำคัญกับการบริหารคุณภาพสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้ เท่ากับ 32,600 ล้านบาท ลดลง 13.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ลดลง 9.3% ตามรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงจากอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งในช่วงเดียวกันของปีก่อนธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยพิเศษ
อย่างไรก็ตามจากการที่ธนาคารมีการบริหารต้นทุนทางการเงินและสินเชื่อที่ขยายตัวได้ดี โดย NIM ปรับลดลงมาอยู่ที่ 2.53% จาก 3.15% ซึ่งรายได้จากการดำเนินงานที่ลดลงทำให้ Cost to Income Ratio ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 43.33% จาก 40.74% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าธนาคารจะสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้ลดลงได้ 3.5% ส่งผลให้กำไรสุทธิ (ส่วนที่เป็นของธนาคาร) เท่ากับ 11,590 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ณ 30 มิถุนายน 2564 ธนาคาร (งบเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 313,012 ล้านบาท และมีเงินกองทุนทั้งสิ้นเท่ากับ 378,887 ล้านบาท คิดเป็น 15.99% และ 19.35% ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยงตามลำดับ โดยในเดือนมีนาคม 2564 ธนาคารได้ออกตราสารหนี้ด้อยสิทธิ ที่สามารถนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อผู้ลงทุนในต่างประเทศจำนวน 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงให้แข็งแกร่งมากขึ้น รองรับการเติบโตของธุรกิจธนาคารในอนาคต นอกจากนี้ธนาคารได้ทำสัญญากับ บมจ.บัตรกรุงไทย เพื่อขายหุ้นของ บจ.กรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง ในสัดส่วน 75.05% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพของธนาคารและบริษัทย่อยในการให้บริการผลิตภัณฑ์เช่าซื้อสำหรับลูกค้ารายย่อยอย่างครบวงจร