คอลลิน โมริกาวะ นักกอล์ฟชาวอเมริกันวัย 24 ปี คว้าแชมป์กอล์ฟ ดิโอเพ่น ครั้งที่ 149 ไปครอง หลังเก็บเพิ่ม 4 อันเดอร์พาร์แบบไร้โบกี้ ทำสกอร์รวม 15 อันเดอร์พาร์ ในการแข่งขันรอบสุดท้ายที่รอยัล เซนต์ จอร์จ คันทรี คลับ พร้อมกลายเป็นนักกอล์ฟคนแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้าแชมป์เมเจอร์ต่างรายการกันได้ตั้งแต่การลงเล่นครั้งแรกในรายการนั้นๆ หลังเมื่อปีก่อนคว้าแชมป์เมเจอร์ พีจีเอแชมเปียนชิปมาครองได้เป็นรายการแรก
โมริกาวะออกสตาร์ทรอบสุดท้ายด้วยตำแหน่งอันดับที่ 2 ตามหลัง ลุยส์ ออสธุยเซย โปรจากแอฟริกาใต้ ที่นำใน 3 รอบแรกมาโดยตลอดอยู่ 1 อันเดอร์ เก็บเบอร์ดี้ได้ 3 หลุมรวดในหลุมที่ 7, 8 และ 9 ก่อนมาย้ำชัยด้วยการเก็บเบอร์ดี้เพิ่มในหลุม 14 แบบไม่เสียโบกี้ตลอดทั้งรอบ แซงคว้าแชมป์ในรายการนี้ไปอย่างงดงาม โดยเอาชนะ จอร์แดน สปีธ ไป 2 สโตรก ซึ่งนี่เป็นแชมป์เมเจอร์รายการที่ 2 ของนักกอล์ฟชาวแคลิฟอร์เนีย หลังคว้าพีจีเอแชมเปียนชิปมาครองได้ในปีก่อน
“ผมบอกทุกคนได้เลยว่าผมไม่ได้เป็นนักประวัติศาสตร์ที่รู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมาย แต่ผมแค่ต้องการเพิ่มชื่อตัวเองเข้าไปในประวัติศาสตร์ และสร้างความทรงจำให้ตัวเองเท่านั้น” โมริกาวะกล่าว โดยยอมรับว่าเขาจะ ‘ดื่มสักหน่อย’ จากถ้วย Claret Jug (ถ้วยแชมป์ดิโอเพ่นที่มีลักษณะเป็นเหยือก)
“ทุกอย่างในสัปดาห์นี้พิเศษมาก อันที่จริงมันเป็นวันเกิดของแคดดี้ผมด้วย นั่นยิ่งทำให้มันพิเศษยิ่งกว่าเดิมอีก”
The winning moment 👏
Collin Morikawa rounds off a truly magnificent performance at Royal St George’s 🏆
Follow all the reaction here 👉https://t.co/xYY44zAFs3#TheOpen pic.twitter.com/NyrwTVPv0U
— The Open (@TheOpen) July 18, 2021
ช็อตเซฟพาร์จังหวะสุดท้ายของโมริกาวะในหลุมที่ 18
โมริกาวะยังเป็นผู้เล่นคนแรกนับตั้งแต่ บ็อบบี้ โจนส์ ในปี 1926 ที่คว้าแชมป์ 2 รายการเมเจอร์ในการออกสตาร์ทไม่เกิน 8 ครั้ง หรือน้อยกว่า โดยทิ้งให้ความฝันในการกลับมาคว้าแชมป์เมเจอร์แรกในรอบ 4 ปีของสปีธเป็นหมัน อย่างไรก็ตาม อดีตมือ 1 ของโลกวัย 27 ปี ก็สามารถโชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดในการแข่งขันระดับเมเจอร์รอบ 4 ปีนับตั้งแต่คว้าแชมป์รายการนี้ในปี 2017 ด้วยการจบอันดับที่ 2 ในรายการนี้
“ผมภูมิใจที่ทำได้ 6 อันเดอร์พาร์ใน 12 หลุมสุดท้ายของการแข่งขันครั้งนี้ และสร้างแรงกดดันให้กับคอลลินได้บ้าง” โปรอันดับ 23 ของโลกกล่าว “จากสิ่งที่ผมได้ยินมา นับตั้งแต่เขาเซฟพาร์ครั้งสำคัญในหลุมที่ 10 เขาก็พัตต์ได้ยอดเยี่ยมในหลุม 14 และเซฟพาร์อีกครั้งในหลุม 15 ถึงตอนนั้นผมจำเป็นต้องหยุดเขาด้วยสกอร์ และผมก็ไม่ได้สิ่งนั้น
“ผมทำสุดความสามารถแล้ว ที่ผมอารมณ์เสียเพราะรู้สึกว่าตัวเองเล่นได้ดีพอที่จะชนะ แต่กลับมาทำผิดพลาดงี่เง่า 2-3 อย่าง เหมือนกับจะได้โอกาสอยู่แล้ว แต่มันก็หายไปกับตา โดยเฉพาะในหลุม 18 เมื่อวันนี้ แต่ในเวลาเดียวกัน ผมก็ทำทุกอย่างที่ทำได้ในช่วงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาเพื่อคว้าแชมป์รายการนี้ไปแล้ว”
ขณะที่ออสธุยเซนต้องเจอกับฝันร้าย หลังนำมาตลอดใน 3 รอบแรก แต่กลับมาฟอร์มหลุดเอาดื้อๆ ในรอบสุดท้าย ด้วยการตีออก 3 โบกี้ แต่ได้ 2 เบอร์ดี้ จบรอบที่ 1 โอเวอร์พาร์ สกอร์รวมลงมาเหลือ 11 อันเดอร์พาร์ จบได้แค่ที่ 3 ร่วมกับ จอน ราห์ม แชมป์ยูเอสโอเพ่นคนล่าสุดที่รัว 4 เบอร์ดี้ใน 6 หลุมสุดท้ายก่อนจบรอบ
อ้างอิง: