แม็กซ์ เจนมานะ เป็นชื่อที่คุ้นหูนักฟังเพลงชาวไทยมาหลายต่อหลายปีแล้ว นับตั้งแต่เป็นที่รู้จักจากรายการ The Voice Thailand ซีซัน 1 แต่ในปีนี้คือก้าวใหญ่ของเขาในฐานะศิลปิน เมื่อแม็กซ์ได้ฤกษ์ออกอัลบั้มอีพีแรกของตัวเองในชื่อ Let There Be Light ที่บรรจุเรื่องราวชีวิตแม็กซ์เอาไว้ในนั้นอย่าง full circle
พูดถึงซิงเกิล ‘ดารา’ และอีพีอัลบั้ม ‘Let There Be Light’
ดารา เป็นซิงเกิลจากอีพีอัลบั้ม Let There Be Light ซึ่งเป็นเพลงที่ 3 จากทั้งหมด 5 เพลง อีพีนี้มีการเรียงแทร็กไว้เรียบร้อยแล้ว ควรฟังตั้งแต่เพลงที่ 1 ไล่ไปเพลงที่ 5 เป็นเพลงที่ป๊อปที่สุด เสียงตอบรับก็ค่อนข้างดี
เนื้อเพลงพูดถึงคนที่เรารู้จัก ซึ่งจริงๆ เขาอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้ บางทีดาราอาจจะสวยที่สุดเมื่อมองจากตรงนี้ มองไกลๆ อาจจะเป็น perfect distant ที่เรามีให้กัน
ในอีพีนี้มีโบนัสแทร็ก 1 เพลง เป็นเวอร์ชันอังกฤษของเพลง ปีศาจ ชื่อเพลงว่า Demons ซึ่งแม็กซ์อัดเล่นสดๆ เลย
การออกอัลบั้มเป็นความฝันของแม็กซ์ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ศิลปินทุกคนอยากออกอัลบั้มเป็นของตัวเอง มันเป็น physical artwork ที่จับแล้วเราภูมิใจว่านี่แหละผลงานของเรา จับต้องได้จริง
ตอนนี้ปล่อยซิงเกิลในอัลบั้มมาได้ครึ่งทางแล้ว แต่ละเพลงมีที่มาต่างๆ กัน อย่างเช่น ไวน์ (Wine) เป็นเพลงที่แต่งมา 2 ปี วนบ่มอารมณ์อยู่กับเพลงนี้มานาน สุดท้ายก็ได้ Whal & Dolph มาช่วย ตกลงกันว่าจะทำเพลงด้วยกันจนสำเร็จออกมาเป็นเพลงนี้ เวิร์สแรกเขาที่คิดขึ้นมาช่วยคลี่คลายทั้งเพลงหมดเลย ท่อนที่ร้องว่า “ถ้าฉันไม่ลืมเรื่องเรา แบบนี้แล้วมันจะผิดหรือเปล่า” แล้วแม็กซ์ก็แต่งต่อ “ดั่งรสที่เคยลิ้มลองและรักตั้งแต่แรกเจอ” แล้วจากนั้นแม็กซ์ก็จบทั้งเพลงได้อย่างรวดเร็ว
พอก้าวข้ามเพลง ไวน์ มาได้ แม็กซ์ก็ไปแต่งเพลง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า (Into The Woods) ต่อ โดยเกิดจากการรวมสองเพลงเข้าด้วยกัน แล้วก็มาแต่งเพลง ดารา (Dara) ต่อ เป็นเปียโนตัวเดียว ส่วนเพลง ปีศาจ (Demons) เกิดจากการแต่งเพลงเป็นภาษาอังกฤษก่อนแล้วแปลงเป็นภาษาไทย ซึ่งแม็กซ์ชอบทั้งสองเวอร์ชัน เลยทำทั้งสองภาษาใส่ไว้เป็นโบนัสแทร็ก และแทร็กสุดท้ายเป็นเพลงกล่อมเด็ก ชื่อว่าเพลง ชัดเจน (Chadjen) ก็อยากให้รอฟัง เป็นเพลงสุดท้ายของอีพีซึ่งให้อารมณ์สว่างที่สุด เพราะมันดาร์กมาพอแล้ว
อัลบั้มนี้แม็กซ์เขียนผ่านช่วงมรสุมชีวิตในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ 25 ปี เป็นช่วงที่ชีวิตงงมากจากการหาทางไปต่อในระหว่างที่เรียนจบและกำลังเริ่มทำงาน ทุกเพลงในอัลบั้มจึงเป็นการ self therapy ที่เรียงเป็นสี เป็นช่วงเวลา และเป็นเรื่องราว ครบทุกด้านของชีวิตแม็กซ์เอง
เส้นทางชีวิตนักดนตรีของแม็กซ์ เจนมานะ
ตอนแรกแม็กซ์อยากเป็นมือกลองจากการไปเล่นดนตรีในโบสถ์โปรเตสแตนต์ ซึ่งเล่นเป็นวงดนตรี ไม่ใช่ร้องประสานเสียงเป็นวง Choir แล้วเวลาแม็กซ์มองวงดนตรีจะรู้สึกว่ามือกลองเท่มาก ถึงตอนนี้เวลาฟังเพลงก็ยังตีตามเสียงกลองอยู่
แต่พอคุยกับพ่อตอนจะเริ่มเล่นดนตรี พ่อกลับบอกให้เรียนกีตาร์ เพราะกลองแบกของเยอะ ก็เชื่อพ่อ เลยไปเรียนกีตาร์คลาสสิก
เพลงแรกที่ฟังแล้วฟินมากต้องย้อนกลับไปปี 2002-2003 แม็กซ์อายุประมาณ 12-13 นั่นคือวง Coldplay เพลง The Scientist ฟัง Keane เพลง Bedshaped ฟัง John Mayer เพลง No Such Things ฟัง Jason Mraz เพลง Remedy แล้วก็ฟังเพลงดิสนีย์
เทปแรกที่ได้ฟังคือ A Rush of Blood to the Head ของ Coldplay ฟังวนทั้งคืน กดกรอ กดฟังทั้งคืนจนเช้า เปิดอัลบั้มด้วยเพลง Politik ก็ไปลองฝึกเล่นเปียโนแบบนั้นที่มันร็อก จากนั้นก็ไปฟัง Papa Roach, Dream Theater แล้วก็กลับมาฟัง John Mayer
หลังจากเดอะวอยซ์ก็เริ่มชีวิตศิลปินที่ไม่ได้มีการทำการบ้านอะไรเลย เอาเงินเก็บไปซื้อเครื่องดนตรีทั้งที่ก็ยังไม่รู้ว่าเรารักมันขนาดไหน แต่พอเข้ามาในวงการดนตรีก็เริ่มรู้สึกว่าคนอื่นเท่กว่า คูลกว่า
พ่อเคยบอกว่าเวลาคนที่จะเก่งอะไรสักอย่าง 3 ปีคือระยะเวลาที่ใช้เรียนรู้ เพิ่งเริ่มรู้เรื่อง 4 ปีเนี่ยพอจะรู้แล้ว 5 ปีคือตัดสินแล้วว่าเราอยู่ในวงการนั้นได้หรือเปล่า ตอนนี้เป็นปีที่ 5 ของแม็กซ์ ก่อนนี้แม็กซ์ฟังเพลงยากมาตลอด จนเข้าปีนี้ก็กลับมาฟังเพลงง่าย เหมือนเป็น full circle ของแม็กซ์
โชว์ที่ฟังแล้วฟินจน eargasm
ครั้งแรกคือวง Keane ไปดูตอนอายุ 14 บอกพี่ให้ซื้อที่หน้าสุด แต่ปรากฏพี่ซื้อที่หลังสุด ก็ฟินมาก ร้องไห้ ชอบเพลงซาวด์อังกฤษแบบนี้ อีกครั้งที่ฟินมากเมื่อไม่นานมานี้คือตอนฟัง One Republic มันเป็นคอนเสิร์ตแบบที่เราชอบ สื่อสารกันด้วยเพลงอย่างเดียว ไม่มีอะไรมาก มีนักร้อง มีนักดนตรีมาเล่นเพลง
3 เพลงที่มีอิทธิพลต่อชีวิต
John Mayer แน่นอน เพลง Born and Raised เป็นช่วงที่เมเยอร์มีปัญหาเรื่องเส้นเสียงแล้วไปอยู่มอนทานา โฟกัสมาก อัลบั้มนี้ลดทอนทุกอย่างแล้วกลับสู่เบสิก มันจริงใจมาก ฟังได้ตลอดเลย
แล้วก็ Foster The People เพลง The Truth กับ Coldplay ชุด Parachute ตอนแรกฟังเพลง The Scientist ก่อน แล้วก็กลับไปฟัง A Rush of Blood to the Head แล้วยังไม่สาแก่ใจ ก็ไปฟัง Parachute ยืมครูฝรั่งมาฟัง ชอบเพลง Don’t Panic มันกระชับ มันได้ฟีล เป็นอัลบั้มที่อัดสด เลยหลงมาก มันเป็นความ pure ของศิลปินที่ทำอัลบั้มแรก
นิยามของ Full Circle
ตอนนี้กำลังเชื่อในความ full circle ของทุกอย่าง มันคือความคิดที่ว่าถ้าเราจะรักอะไรสักอย่าง เราต้องผ่านจุดที่เกลียดมันก่อน แล้วกลับมารักมันอีกครั้ง คือมันจะเป็นอะไรที่ทำให้เราเข้าใจมันในทุกด้าน พอกลับมาก็รักมันในแบบที่มันเป็นจริงๆ อย่างเรื่องดนตรีที่แม็กซ์เคยเทิดทูนมันมากจนเริ่มเกลียดมัน เพราะรู้สึกว่าตัวเองห่วย depressed จนกลับมาคิดว่าเราต้องทุ่มทุกอย่างเพื่อที่จะอยู่ตรงนี้ให้ได้ ก็กลับมาเล่นดนตรี ก็ full circle พอดี อาจจะมี circle อื่นอีกก็ได้ แต่วงนี้มันครบวงแล้ว
Eargasm Combo
เพลงที่ 1 – เลือกเพราะมีศิลปินท่านหนึ่งได้จากไปคือ Tom Petty เพราะรู้จักเพลงนี้จากโชว์ของ John Mayer ที่เรียกได้ว่าดีมากของเขา
เพลงที่ 2 – เพลงของศิลปินไทยที่แม็กซ์นับถือมาก ทำให้เชื่อว่าเพลงไทยดีๆ ยังสามารถทำได้ในแบบของยุคสมัยนี้ สามารถก้าวผ่านความแมสไปสู่อีกระดับหนึ่ง และยังเข้าใจวิถีชีวิตแบบคุณอยู่คือเพลงของพี่ฮิวโก้ สงสัยมากว่าพี่เล็กแต่งเหรอ ก็พบว่าพี่ฟองเบียร์แต่ง ก็เลยเข้าใจว่านักแต่งเพลงก็มีหลายด้าน นอกจากเพลงที่เราคุ้นเคยแล้วก็มีด้านแบบนี้ที่มันเอาตายเลย มันดีมาก โดนทุกหมัดเลย
เพลงที่ 3 – ของน้องชายสุดหล่อ The TOYS ซึ่งเป็นเด็กสมัยใหม่ที่โฟกัส ทำให้นึกถึงเมเยอร์ตอนหนุ่ม เขารู้ว่าต้องทุ่มเทให้สิ่งนี้ เป็นรุกกี้ของปีนี้ที่มาแรงมาก
Eargasm Combo Song list
- Free Fallin’ – Tom Petty
- บันไดสีแดง – HUGO
- ก่อนฤดูฝน – The TOYS
Credits
The Host แพท บุญสินสุข
The Guest ณัฐวุฒิ เจนมานะ
Show Creator แพท บุญสินสุข
Show Producer นทธัญ แสงไชย
Episode Editor นทธัญ แสงไชย
Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ
Coordinator & Admin อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค
Art Director กริณ ลีราภิรมย์
Graphic Designer เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล
Proofreader ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
Music Westonemusic.com