ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บมจ.แอสเซทไวส์ หรือ ASW ซึ่งเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (SET) วันนี้เป็นวันแรก ราคาเปิดการซื้อขายที่ 11.80 บาท เพิ่มขึ้น 1.98 บาท หรือ 20.16% จากราคา IPO ที่ระดับ 9.82 บาท จากนั้นราคาปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และทำราคาสูงสุดช่วงเปิดการซื้อขายที่ 12.60 บาท
ASW ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ซึ่งดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร ทาวน์โฮม และโฮมออฟฟิศ นอกจากนี้บริษัทยังมีธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า และธุรกิจรับฝากขายอสังหาริมทรัพย์ และตัวแทนรับชำระเงินจากต่างประเทศ
ณ สิ้นปี 2563 ASW เปิดขายโครงการมาแล้วทั้งหมด 33 โครงการ และมีโครงการห้องชุดที่ทำสัญญาซื้อ-ขายและแต่ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์มูลค่ารวม 7,848 ล้านบาทซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 2566 และคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ภายในปี 2564 ประมาณ 5,300 ล้านบาท รวมทั้งมีแผนเปิดโครงการในอนาคต 11 โครงการที่คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า มูลค่ารวม 21,202 ล้านบาท
ASW มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 761 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 555 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 206 ล้านหุ้น ในราคาเสนอขายหุ้นละ 9.82 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 2,022.92 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 7,473.02 ล้านบาท โดยมีบริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ
กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ASW กล่าวว่า การนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับบริษัท และเสริมความแข็งแกร่งด้านการเงินของบริษัท ทั้งในแง่ของต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ความเชื่อมั่นของคู่ค้าและผู้บริโภค รวมถึงเพิ่มโอกาสในการขยายลงทุนและพัฒนาโครงการใหม่ ผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตตามแผนงานที่วางไว้
โดย ASW มีแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ทั้งแบบ High Rise และ Low Rise และโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบ รวมถึงนำเงินส่วนหนึ่งไปคืนหนี้สถาบันการเงิน และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ทั้งนี้การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 9.82 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 8.54 เท่า โดยคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทในรอบ 12 เดือนย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึง 31 ธันวาคม 2563 ซึ่งเท่ากับ 873.9 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully Diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.15 บาท ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมภายหลังจากหักภาษีและทุนสำรองตามกฎหมาย
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
ไม่พลาดข่าวไฮไลต์ประจำวัน มาเป็นเพื่อนกับ THE STANDARD WEALTH ในไลน์ คลิก https://lin.ee/xfPbXUP