สีหน้าและน้ำเสียงของ เจอร์เกน คล็อปป์ ที่ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมนัดล่าสุดที่พวกเขาพ่ายต่อเบิร์นลีย์ 0-1 คาแอนฟิลด์เต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างไม่ต้องสงสัย
“เป็นความผิดของผมเอง” ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันบอกย้ำอยู่อย่างนั้น หลังทีมไม่ชนะใครติดต่อกันเป็นเกมที่ 5 และทำประตูไม่ได้ติดต่อกันเป็นเกมที่ 4 แถมยังเสียสถิติไม่แพ้ใครในบ้านที่ยืนยงมากว่า 68 เกม
ความจริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับลิเวอร์พูลนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรครับ มันเป็นเรื่องปกติที่สุด เพราะไม่มีทีมกีฬาใดหรือใครในโลกที่จะชนะไปตลอดกาล สิ่งที่แชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่แล้วและเป็นทีมที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดของอังกฤษเผชิญในเวลานี้ก็เป็นสิ่งที่สุดยอดทีมของโลกต่างเผชิญกันมาแล้วทั้งสิ้น
เพียงแต่มันอาจจะดูช็อกอยู่สักหน่อย เพราะตลอดช่วงระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา พวกเขาดูเป็นทีมที่มหัศจรรย์ เต็มไปด้วยพลัง ความดุดัน ความเชื่อมั่น และต่อให้เจอกับวันที่ยากลำบากแค่ไหนก็จะหา ‘หนทาง’ ได้เสมอ
วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับลิเวอร์พูล มาลองไล่เลียงกันดูสักหน่อยไหมครับ
เสาหลักที่หักโค่น
จุดแรกที่ต้องพูดถึงคือการเสีย เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ปราการหลังระดับ ‘เสาหลัก’ ที่บาดเจ็บรุนแรงในเกมกับเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี กับเอฟเวอร์ตันถึงขั้นต้องพักการเล่นยาวหลายเดือน (แม้ดูเหมือนจะฟื้นตัวไวกว่าที่คาดมากก็ตาม)
การเสียกองหลังที่เป็นที่พึ่งของทีมมาโดยตลอดไปยาวนานขนาดนั้นทำให้ทีม ‘ช็อก’ อย่างมากครับ ซึ่งมันแย่ขึ้นไปอีกเมื่อคิดถึงว่าเกมก่อนหน้าลิเวอร์พูลโดนแอสตัน วิลลา ถล่มไม่ไว้หน้าถึง 7-2 และในเกมกับเอฟเวอร์ตัน นอกจากเสีย ฟาน ไดจ์ค ยังพลาดชัยชนะอีก เพราะประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ถูก VAR ปฏิเสธให้เป็นประตูเพราะเป็นลูกล้ำหน้า
ในเกมเดียว ลิเวอร์พูลจึงพลาดโอกาสจะแก้ตัวและเสียนักเตะคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของทีมไป
ผลกระทบของการขาดนักเตะระดับนี้ร้ายแรงมากเสมอครับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เองก็เจอกับชะตากรรมเดียวกันเมื่อขาด ไอเมอริก ลาปอร์เต ในฤดูกาลที่แล้ว จนทำให้ไม่สามารถไล่ตามลิเวอร์พูลได้ทัน ซี่งแม้คล็อปป์จะแก้ปัญหาได้ดีในแนวรับด้วยการใช้ผู้เล่นเท่าที่มี แต่อิทธิพลของนักเตะระดับนี้ บางทีแท็กติกไม่สามารถทดแทนได้
ห้องพยาบาลที่ไม่เคยว่าง
โชคยังเล่นงานลิเวอร์พูลต่อเนื่อง เมื่อ โจ โกเมซ บาดเจ็บหนักจนแทบจะปิดม่านฤดูกาลตามกันไป
และหลังจากนั้นห้องพยาบาลของลิเวอร์พูลก็แทบไม่เคยว่างเลย จะมีผู้เล่นผลัดกันบาดเจ็บวนเวียนไปขอใช้บริการเสมอ ไม่ว่าจะเป็น โจเอล มาติป (ขาประจำ), ฟาบินโญ, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน
รวมถึงรายที่ส่งผลกระทบอย่างมากในเวลานี้คือ ดีโอโก โชตา ที่บาดเจ็บเข่าในเกมที่ไม่มีความหมายอะไรแล้วกับมิดทิลลันด์ ซึ่งต้องพักการเล่น 2 เดือน (นั่นเป็นข่าวดีแล้ว เพราะตอนแรกหวั่นว่าอาจจะปิดฉากไปอีกคน!)
ตัวผู้เล่นบาดเจ็บมากขนาดนี้ ทำให้ลิเวอร์พูลต้องสับเปลี่ยนผู้เล่นตลอดในแดนหลัง ซึ่งไม่ใช่การ Rotation เพื่อรักษาสภาพร่างกายนักเตะ แต่เป็นการแก้ผ้าเอาหน้ารอดในเกมนั้นให้ได้ไปก่อน
สามประสานที่ไม่ประสาน
ความจริงลิเวอร์พูลก็ไม่ได้ถึงกับแย่อะไรนัก แม้จะมีหลายนัดที่ทำแต้มหล่น แต่พวกเขาก็ทำผลงานได้ดีในหลายๆ เกมอย่างน่าปรบมือให้
โดยเฉพาะในเกมที่ถล่มคริสตัล พาเลซ 7-0 คาเซลเฮิร์สต์พาร์ก ที่ทำให้ได้เป็นจ่าฝูงในวันคริสต์มาส วันนั้นคือลิเวอร์พูลที่แทบจะกลับมาเป็นทีมเก่าที่ได้เป็นแชมป์ในฤดูกาลที่แล้ว มีโอกาส 14 ครั้ง ยิงได้ถึง 7 ประตู เรียกว่าง้าง 2 ทีมี 2 เฮ
แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา 5 นัดในพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลทำได้แค่ประตูเดียวเท่านั้นในเกมกับเวสต์ บรอมวิช อัลเบียน จากประตูของ ซาดิโอ มาเน ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ทำประตูไม่ได้อีกเลย แม้จะมีโอกาสในการลุ้นทำประตูมากมาย
ปัญหาการขาดแคลนประตูก็อยู่ที่กองหน้า ทำให้มีการจับตามองฟอร์มของ 3 ประสานอย่าง โรแบร์โต เฟียร์มิโน, ซาดิโอ มาเน และโมฮัมเหม็ด ซาลาห์มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะรายหลังที่มีกระแสข่าวว่าแอบน้อยใจที่ไม่ได้เป็นกัปตันในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกกับมิดทิลลันด์ และมีการพาดพิงถึงบาร์เซโลนา และเรอัล มาดริด (ซึ่งถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์ในการเรียกร้องสัญญาใหม่ที่ได้ค่าเหนื่อยสูงขึ้น)
สิ่งที่ได้เห็นคือการเล่นที่ไร้ประสิทธิภาพ ไม่มีการประสานงานที่ดีกันเหมือนเก่า จังหวะจะโคนผิดและเพี้ยนกันไปหมด ที่สำคัญคือปืนฝืดกระสุนด้านพร้อมกัน
ด้วยความที่ลิเวอร์พูลพึ่งพาทั้งสามมาตลอด และดันไม่มีโชตาที่บาดเจ็บ จะให้มาหวังอะไรกับนักเตะสำรองอย่าง ทาคุมิ มินามิโนะ, ดิว็อค โอริกิ หรืออเล็กซ์ ออกซ์เลด-เชมเบอร์ลิน (ซึ่งไม่เคยกลับมาเล่นดีอีกเลยหลังเจ็บเข่าหนัก) ก็ไม่ใช่เรื่อง
เวลานี้จึงมีการตั้งคำถามว่าถึงเวลาที่คล็อปป์จะหาแนวรุกชุดใหม่ได้หรือยัง ซึ่งเป็นโจทย์ที่ใหญ่มากในเรื่องนี้
ความพยายามที่ไร้ความหมาย
ทุกนัดที่ลงสนาม ลิเวอร์พูลจะเป็นฝ่ายที่พยายามเดินหน้าเข้าหาคู่ต่อสู้เสมอ ครองบอลมากกว่าชัดเจน
แต่ปัญหาคือพวกเขาไม่สามารถเจาะเกมรับคู่แข่งได้ และหนึ่งในเหตุผลสำคัญคือการจู่โจมทางริมเส้นที่เคยได้ผลมาตลอดนั้นไม่ได้ผลอีกต่อไป
ในเกมกับเบิร์นลีย์ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็กขวาที่เคยว่ากันว่าดีที่สุดในโลกได้โอกาสในการครอสบอลถึง 22 ครั้ง แต่บอลถึงเพื่อนแค่ครั้งเดียว เรียกได้ว่าแย่สุดๆ ขณะที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่แทบไม่เคยฟอร์มตกก็ฟอร์มตกตามไปด้วย
ลูกเปิดไม่ว่าจะเป็นการเปิดแบบเร็ว (Early Cross) หรือเปิดจากสุดเส้นหลัง แบบไหนก็ไม่ได้ผลทั้งนั้น นอกจากจะไม่เข้าเป้าแล้วยังไม่สามารถกดดันคู่ต่อสู้ได้
จากอาวุธหนักที่สร้างโอกาสทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำ การเปิดบอลของลิเวอร์พูลกลายเป็นการตะบี้ตะบันไป
ส่วนวิธีการเข้าทำรูปแบบอื่นๆ ที่เคยมีก็ลืมกันไปจนหมดสิ้น ไม่นับจังหวะการเล่นที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่จะให้บอลกันเร็ว แม่น ก็กลายเป็นเก็บบอลไว้นาน ผ่านบอลวนไปวนมา
จุดนี้ทำให้แม้กระทั่งกองกลางระดับเวิลด์คลาสอย่าง ติอาโก อัลกันตารา ยังถูกตั้งข้อสงสัยจาก ดีทมาร์ ฮามันน์ อดีตตำนานของสโมสร ว่าไปปรับจังหวะการเล่นของทีมใหม่หรือไม่
จริงๆ ดูแล้วก็ไม่น่าเกี่ยวมาก แต่นาทีนี้ทุกอย่างของลิเวอร์พูลมันผิดหูผิดตากันไปหมด เมื่อรวมกับการที่คู่แข่งเองก็ทำการบ้านกันมาดี เหมือนพกคู่มือเตรียมสอบหรือฟังรายการ The Secret Sauce ตอนวิธีปราบแชมป์ด้วยแล้ว อะไรๆ มันก็ยากไปหมด
จากทีมที่มีความเชื่อกลายเป็นทีมที่เต็มไปด้วยความสงสัย
ในผลงานที่ย่ำแย่ช่วงที่ผ่านมานั้น สิ่งสำคัญที่สุดที่ลิเวอร์พูลสูญเสียไปคือ ‘ความเชื่อ’
นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ลิเวอร์พูลสูญเสียความเชื่อมั่นอย่างรุนแรงทั้งต่อตัวเองและทีม พวกเขาไม่เชื่อเหมือนเดิมแล้วว่าจะสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ จะยิงประตูได้ อย่าเพิ่งคิดถึงการหาหนทางในการกลับมาสู่เกมให้ได้
เรื่องนี้สำคัญ เพราะความมั่นใจนำไปสู่อีกหลายสิ่งตามมา เพราะหากทีมไม่ดีแต่มั่นใจ บางทีก็ได้ผลการแข่งที่ต้องการ ในทางกลับกัน ทีมที่ดีแต่ไม่มีความมั่นใจก็เจอกับช่วงเวลาเลวร้ายได้เหมือนกัน
การขาดความเชื่อมั่นของลิเวอร์พูลนั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุที่หลากหลายครับ แต่จุดที่สังเกตได้คือความเชื่อมั่นที่เคยแข็งโป๊กนั้นถูกกะเทาะตั้งแต่ในฤดูกาลที่แล้วที่พ่ายวัตฟอร์ดแบบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ต่อด้วยเกมกับแอสตัน วิลลา
การตัดสินที่ไม่เข้าทางของผู้ตัดสินในหลายนัด ไม่ว่าจะเป็นในเกมกับเอฟเวอร์ตันหรือไบรท์ตันที่เสียจุดโทษแบบงงๆ (ซึ่งเกิดเหตุการณ์ในช่วงชี้เป็นชี้ตายทั้งคู่) เองก็ส่งผลอย่างมาก
ลองคิดดูว่าหากประตูของเฮนเดอร์สันไม่ถูกค้านโดย VAR และจังหวะหวดบอลทิ้งของโรเบิร์ตสันในเกมกับไบรท์ตันไม่ได้ถูก VAR ตัดสินให้เป็นจุดโทษ ลิเวอร์พูลจะได้พลังบวกมากขนาดไหนจากเกมเหล่านี้
เมื่อไม่ได้พลังบวก แถมยังติดลบมาเรื่อยๆ ก็ไม่แปลกอะไรที่จะค่อยๆ เริ่มไม่เชื่อ
จนถึงนาทีนี้ที่กลายเป็นทีมที่เต็มไปด้วยความสงสัย
บททดสอบหัวใจที่ยากกว่าเดิม
ในช่วงฤดูกาล 2017-18, 2018-19 และ 2019-20 เป็น 3 ฤดูกาลที่ลิเวอร์พูลอยู่ในช่วงขาขึ้น การเดินทางของพวกเขาไม่ต่างอะไรจากการเดินทางไกลที่ยากลำบาก
โดยเฉพาะในช่วงปี 2018-2020 ที่ต้องขับเคี่ยวกับโคตรทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ทำให้เกิดความรู้สึกฝังในจิตใจว่าจะพลาดไม่ได้แม้แต่เกมเดียว เพราะการพลาดนิดเดียวนั้นอาจหมายถึงการต้องจบด้วยตำแหน่งรองแชมป์ ทั้งๆ ที่สามารถเป็นแชมป์ได้ในแทบทุกฤดูกาลด้วยผลงานระดับนี้
ลิเวอร์พูลจึงเล่นแบบใส่หัวใจเต็มร้อยหรือเกินร้อยมาตลอด ด้วยความรู้สึกที่ว่า ‘ไม่อยากจะสูญเสียอะไรอีกแล้ว’ ทำให้ในฤดูกาลที่แล้วเราได้เห็นผลงานที่เหลือเชื่อของพวกเขาที่แทบจะปิดฉากคว้าแชมป์กันตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม หากไม่มีโรคระบาดเสียก่อน
มันไม่ต่างอะไรจากการเดินทางไกล ซึ่งเมื่อถึงจุดหมายปลายทางกับการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ ความท้าทายที่เคยยิ่งใหญ่นั้นมันจบลง
ลองนึกถึงการเดินขึ้นเขาสูงชันและหนาวเหน็บ วันหนึ่งเมื่อถึงยอดเขา ได้เห็นวิวทิวทัศน์แล้ว หนทางข้างหน้าไม่มีทางขึ้นอีกต่อไปครับ มันคือทางลง
ที่ยากกว่าคือการจะเดินกลับขึ้นไปใหม่อีกรอบ ทำให้มีการพูดกันเสมอมาว่าการได้แชมป์ว่ายากแล้ว การป้องกันแชมป์นั้นยากกว่า เพราะไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่หัวใจก็รับรู้ถึงความเหนื่อยยาก
ถ้าใจไม่เด็ดเดี่ยวมากพอก็ยากที่จะทำได้แบบเก่า และตรงนี้คือบททดสอบของหัวใจที่ยากกว่าเดิม
มีไม่กี่ทีมที่สามารถคว้าแชมป์ได้แล้วยังกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกเรื่อยๆ มีการสร้างทีมชุดใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งนั่นทำให้ลิเวอร์พูลในยุคทศวรรษที่ 70-80 และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
ไม่ได้บอกว่าลิเวอร์พูลชุดนี้จะทำไม่ได้ เพราะฟุตบอลเพิ่งผ่านมาแค่ครึ่งฤดูกาล แต่เราก็ได้เห็นแล้วครับว่างานนี้หินแค่ไหน
ไม่มีเดอะ ค็อป ในสนาม
ปัจจัยสุดท้ายที่มีความสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นคือการที่ลิเวอร์พูลไม่มีพลังพิเศษจากเดอะ ค็อป มาช่วย
สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งเมอร์ซีย์ไซด์ทีมนี้เป็นทีมที่มีจังหวะหัวใจเต้นตามความรู้สึกของแฟนบอลครับ ดังนั้นเมื่อขาดเดอะ ค็อป หัวใจของพวกเขาก็เต้นช้าลง ไม่เป็นระเบียบ ไม่ได้รับการกระตุ้น ไม่มีคนคอยชี้ทาง คนคอยบอกให้ทำโน่นทำนี่ในสนาม
ย้อนกลับไปในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ลิเวอร์พูลทำผลงานได้ดีนั้น มีบางนัดที่เดอะ ค็อป ได้กลับเข้ามาในสนามตามการอนุญาตของรัฐบาล แม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่เสียงเชียร์ของพวกเขามีความหมาย และเห็นได้ชัดว่านักเตะเองก็ดูมีความสุขที่ได้เห็นแฟนบอลกลับมา
แต่เมื่อสถานการณ์การระบาดเข้าขั้นวิกฤตในอังกฤษ แฟนบอลก็ไม่อาจกลับเข้ามาให้กำลังใจได้โดยเฉพาะในยามยากแบบนี้ ดังนั้นทีมจะต้องพยายามด้วยตัวเองให้ได้หากอยากกลับมาสู่เส้นทางอีกครั้ง เพราะตอนนี้แค่การรักษา Top 4 ก็เป็นเรื่องยากมากแล้ว
…ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่พอจะหามาอธิบายในวิกฤตที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวในช่วงระยะเวลาเพียงแค่ 1 เดือนของลิเวอร์พูล ซึ่งแม้ในเกมฟุตบอลจะมีการบอกกันว่าทีมที่ดีไม่ได้เปลี่ยนเป็นทีมที่แย่ได้เพียงไม่กี่นัด
และถึงจะมีเวลาอีกครึ่งฤดูกาลให้แก้ตัว ซึ่งโอกาสที่ลิเวอร์พูลจะกลับมาทำได้ดีนั้นมีมากกว่าย่ำแย่แน่ๆ
เพียงแต่ 5 นัดที่ผ่านมาเหมือนพายุไซโคลนที่พัดถล่มสิ่งดีๆ ทุกอย่างที่พยายามสั่งสมมาจนถล่มราบเป็นหน้ากลอง จะตกใจ หวั่นใจ เสียใจก็ไม่แปลก
ก็อยู่ที่ลิเวอร์พูลเองครับ อยู่ที่คล็อปป์ อยู่ที่นักเตะในทีม และอาจจะรวมถึงแฟนบอลที่สามารถส่งพลังถึงกันได้บนโซเชียลมีเดียว่าการเดินท่ามกลางพายุครั้งนี้ พวกเขาจะยังอยากจับมือแล้วเดินเคียงกันไปหรือไม่
ทิ้งท้ายว่าโชคชะตาบางทีบทจะพลิกผันมันก็กลับบ้านเอาเสียดื้อๆ เหมือนหลายๆ ทีมที่เหมือนจะแย่ แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นมา
บางทีเดือนหน้าฟ้าเปิด เดอะ ค็อป กลับมามองเหตุการณ์นี้ใหม่ก็อาจจะยิ้มและหัวเราะไปกับมันก็ได้ครับ
แต่ตอนนี้ขอกินยาทัมใจก่อนนะ… :’)
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์