เรารู้จัก MINI Cooper SE เป็นครั้งแรกเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ในฐานะรถยนต์ขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกจาก MINI ซึ่งในช่วงเวลานั้น ข่าวคราวของ MINI Cooper SE ค่อนข้างเป็นที่กล่าวขาน และถูกจับตามองถึงความเนื้อหอม เพราะเพียงแค่ไม่ถึง 1 นาทีที่ให้เปิดจองผ่านช่องทางออนไลน์ โควตา 25 คันสำหรับการจำหน่ายในประเทศไทยก็หมดเกลี้ยง!
สำหรับสาวก MINI ที่เชื่อในศักยภาพของยนตรกรรมโกคาร์ตในตำนาน และการไม่หยุดพัฒนาของ MINI Cooper คุณจะสิ้นสงสัยในความสมบูรณ์แบบ ตั้งแต่ที่เห็น MINI Cooper SE จรดล้อบนท้องถนนเมืองกรุง แต่สำหรับคนที่กำลังอาจตั้งคำถามว่า รถคันนี้มีดีอะไรซ่อนอยู่ หรือเหมาะที่จะขับเคลื่อนไลฟ์สไตล์แบบไหน เรามีคำตอบนั้นให้คุณ
เอกลักษณ์โดดเด่น และสิ่งที่สะท้อนตัวตนของ MINI Cooper SE
หากมองจากภายนอก MINI Cooper SE ยังคงถ่ายทอดดีเอ็นเอความเป็น MINI สายพันธุ์แท้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ครบเครื่องทั้งความน่ารัก คล่องตัว และความเท่แบบเดียวกับรถ MINI ทั่วไป ขนาดช่องสำหรับชาร์จไฟยังอยู่ในตำแหน่งเดียวกับฝาถังน้ำมันเชื้อเพลิงของ MINI 3 ประตู แต่จะมีสัญลักษณ์ MINI Electric ระบุไว้ มาพร้อมไฟหน้า LED เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แถมมีการใส่รายละเอียดที่จะทำให้ผู้ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรู้สึกภูมิใจเมื่อได้ขับขี่ อย่างเช่นไฟโลโก้ MINI ที่จะยิงลงพื้นทุกครั้งที่เปิด-ปิดประตู เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยระหว่างรถเครื่องยนต์สันดาปกับรถขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า ทว่าทันทีที่สัมผัสจิตวิญญาณภายใน คุณจะรู้สึกได้ถึงตัวตนของ MINI Cooper SE ที่สะท้อนออกมาในทุกอณู ตั้งแต่หัวเกียร์ดีไซน์เฉพาะ ระบบปรับอากาศแบบแยกโซนระหว่างโซนคนขับกับโซนผู้โดยสาร ที่สะดุดตาเป็นพิเศษเห็นจะเป็นจอดิจิทัลระบบสัมผัสขนาดใหญ่ 8.8 นิ้ว ซึ่งสูบฉีดด้วยระบบดิจิทัลแทบทั้งหมด
‘ดิจิทัลทั้งคัน’ ความล้ำของ MINI Cooper SE ทำอะไรได้บ้าง
จากที่ในอดีต รถยนต์จะถูกควบคุมเมื่อคนขับนั่งอยู่ด้านหลังพวงมาลัย ทว่า MINI Cooper SE ปฏิวัติการขับขี่ของคนเมืองไปโดยสิ้นเชิง เพราะสามารถควบคุมคำสั่งพื้นฐาน เช่น เปิด-ปิดประตูอัตโนมัติ, เปิด-ปิดระบบปรับอากาศ, เปิดไฟ, บีบแตร, เช็กสถานะและวางแผนการใช้พลังงาน, ตรวจสอบระยะทางการวิ่ง, จุดชาร์จแบตเตอรี่ และเชื่อมต่อความบันเทิงภายในรถได้ก่อนล่วงหน้า ผ่านแอปพลิเคชัน MINI Connected ซึ่งสามารถรองรับระบบปฏิบัติการ iOS ได้ในขณะนี้ (สำหรับ Android รอการพัฒนาอีกในไม่ช้า) โดยจะทำงานเชื่อมต่อกับหน้าจอสัมผัส 8.8 นิ้ว บริเวณแผงคอนโซล และเมื่อคุณอยู่ในห้องโดยสารเรียบร้อยแล้ว ภายในตัวรถยังมีแท่นชาร์จแบตฯ สมาร์ทโฟนแบบไร้สาย ที่จะซิงก์กับหน้าจอแสดงผลของตัวรถ เพื่อแจ้งเตือนกิจกรรมต่างๆ ทำให้ไม่พลาดทุกการเชื่อมต่อ ในขณะเดียวกันก็สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล
ส่วนความไฮเทคภายใน MINI Cooper SE นั้น ไม่พูดถึงคงไม่ได้ เพราะทุกอย่างถูกคิดมาเพื่อความสะดวกสบายและปลอดภัยในการขับขี่ สมกับเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นบุกเบิกของ MINI ตั้งแต่เรือนไมล์แบบดิจิทัลที่ให้เห็นอัตราเร่งและพลังงานแบตเตอรี่อย่างชัดเจน จัดเต็มให้เห็นสองด้านกันไปเลย ทั้งจอแสดงผลหลังพวงมาลัยดีไซน์ Black Panel และจอดิจิทัลแบบทรงกลม ซึ่งจะแสดงสถานะต่างๆ ของรถ รวมถึงแสดงสถานะการชาร์จแบตบริเวณช่องชาร์จไฟ ถ้าสีไฟแสดงสีเหลืองกะพริบคือกำลังชาร์จ พอเต็มจะเปลี่ยนสีเป็นสีเขียว และถ้ามีความผิดปกติก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดง เพื่อแจ้งเตือนผู้ขับขี่
อีกเรื่องที่ค่อนข้างจะโดดเด่นและแตกต่าง คือรถคันนี้ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งแทบไร้เสียงเวลาทำงาน จึงต้องมีการติดตั้งระบบจำลองเสียงเพื่อเตือนคนเดินถนน ซึ่งเป็นเสียงเฉพาะสำหรับ MINI Cooper SE เท่านั้น โดยจำลองเสียงผ่านทางระบบลำโพงสำหรับขณะขับขี่ที่ความเร็วต่ำ ส่วนผู้ขับขี่จะมีไฟและข้อความบ่งบอกสถานะเวลาสตาร์ทและดับเครื่อง สร้างสุนทรีย์ในการขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร
ขุมพลังสะอาด สร้างขึ้นมาเพื่อใคร
จริงอยู่ที่รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า จะตอบโจทย์คนเมืองเป็นหลักใหญ่ เพราะเป็นรถยนต์พลังงานทางเลือกที่สร้างขึ้นมาทดแทนน้ำมัน ด้วยลักษณะของพลังงานไฟฟ้า ทำให้มีข้อจำกัดในเรื่องของระยะทางเข้ามาเกี่ยวข้อง สำหรับเมืองไทย จึงแนะนำการขับขี่สำหรับในเมือง เพราะมีจุดชาร์จพลังงานไฟฟ้ากระจายอยู่ตามสถานที่ต่างๆ นอกเหนือจากการชาร์จจากปลั๊กไฟในบ้าน อย่างใน MINI Cooper SE ไฟแสดงสถานะการชาร์จที่เข้าใจง่าย และหากชาร์จจาก MINI Electric Wallbox ก็สามารถชาร์จ 100% ได้ภายใน 3.5 ชั่วโมง ซึ่ง MINI Cooper SE ได้รับการออกแบบมาให้รองรับพลังงานในการชาร์จได้สูงสุด 50 กิโลวัตต์ ชาร์จได้ถึง 80 % ภายในเพียง 36 นาที นอกจากนี้ ยังเลือกใช้บริการจากสถานีชาร์จไฟสาธารณะ (ChargeNow) ได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งเป็นเครือข่ายชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก กระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ทั่วกรุง ส่วนช่องเสียบชาร์จพลังงานจะหุ้มด้วยพลาสติกกันน้ำเพื่อความปลอดภัย
“สำหรับ MINI Cooper SE ต้องบอกว่าขับเคลื่อนด้วยการใช้ไฟฟ้า 100% จึงไร้การปล่อยมลพิษอย่างแท้จริง”
อะไรคือหัวใจสำคัญของ MINI Cooper SE
ถ้าหากพลังงานไฟฟ้า เปรียบได้ดั่งเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยง MINI Cooper SE ทั้งคัน คันเร่งก็คงเปรียบดั่ง ‘หัวใจสำคัญ’ ที่มอบประสบการณ์การขับขี่แบบ One-Pedal Feeling ให้ผู้ขับสามารถลดความเร็วรถได้เพียงถอนคันเร่ง โดยไม่ต้องแตะเบรกด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เกิดจากการไม่หยุดยั้งพัฒนารถพลังงานไฟฟ้าของ BMW Group เพื่อให้สามารถดึงพลังงานจากเบรกกลับมาใช้ใหม่ได้ (Regenerative Brake) แต่ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ สามารถเลือกปรับลดระดับการดึงพลังงานจากเบรก เพื่อให้รถชะลอตัวนุ่มนวลขึ้นก่อนในช่วงแรกได้
พฤติกรรมการขับขี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังงานมากน้อยแค่ไหน
คงต้องบอกว่าพฤติกรรมการขับขี่มีส่วนอย่างมากต่อการลดของพลังงานไฟฟ้า จริงอยู่ที่ MINI Cooper SE จะมีขุมพลังผลักดันเครื่องยนต์มาจากมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง สามารถส่งพละกำลังสูงสุดได้ 135 กิโลวัตต์ต่อ 184 แรงม้า สามารถส่งความเร็วจาก 0-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทันทีที่เท้าแตะคันเร่งได้ภายใน 3.9 วินาที ซึ่งเป็นประสิทธิภาพที่เทียบชั้นรถสปอร์ต สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนในการวิ่งได้ระยะทางสูงสุดราว 217 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) แต่ข้อเท็จจริงที่ต้องรู้คือ ยิ่งทำความเร็วมากเท่าไร ก็จะยิ่งสูญเสียพลังงานไปมากเท่านั้น แน่นอนว่า ถ้าคุณใช้รถคันนี้ในเมืองกรุง ก็ไม่จำเป็นต้องทำความเร็วมากขนาดนั้น แนะนำที่ 60-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะยิ่งช่วยประหยัดพลังงานได้ หรือถ้าเป็นคนที่เปิดแอร์เย็นๆ ชอบบรรทุกของหนักๆ ชอบแตะเบรกกะทันหัน และเหยียบคันเร่งอย่างรวดเร็วเพื่อออกตัว ก็อาจทำให้ระยะทางการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าลดลงด้วย
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งมีส่วนทำให้ระยะทางในการวิ่งลดลง เช่น อุณหภูมิภายนอกตัวรถ ลักษณะพื้นผิวถนน เป็นต้น
ส่วนวิธีที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ดีที่สุด ได้แก่ การใช้แอปฯ MINI Connected สั่งการล่วงหน้าก่อนออกสตาร์ทรถ การปรับโหมดขับขี่เป็นโหมด Green การชะลอความเร็วจากคันเร่ง และการวางแผนเดินทางด้วยทุกครั้ง
ไม่ต้องตรวจเช็กสภาพเครื่องยนต์ แต่ควรเข้าศูนย์ฯ ทุกๆ ปีเพื่ออะไร
อยากให้เข้าใจว่า รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มีแบตเตอรี่เป็นบ้านของพลังงาน ก็ไม่ต่างจากโทรศัพท์ที่ยังมีโอกาสพบอาการแบตฯ เสื่อมได้จากพฤติกรรมการใช้งาน ยนตรกรรมไฟฟ้าก็เช่นเดียวกัน ซึ่งองค์ประกอบของแบตเตอรี่ใน MINI Cooper SE นั้น ประกอบไปด้วยเซลล์แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจำนวน 12 โมดูล ติดตั้งในรูปตัว T บริเวณใต้พื้นรถ จุพลังงานไฟฟ้ารวม 32.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง และแบตเตอรี่มีการรับประกันคุณภาพที่ 8 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร แต่ก็ควรจะนำรถไปตรวจเช็กที่ศูนย์บริการเป็นประจำ เพื่อดูสภาพการทำงานของแบตเตอรี่
ปลอดภัยแค่ไหน ในฐานะยนตรกรรมแห่งอนาคต
คุณสมบัติด้านความปลอดภัยของ MINI Cooper SE ใหม่ยังเป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดของ BMW Group โดยทุกชิ้นส่วนของระบบการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า จะได้รับการปกป้องด้วยโครงสร้างที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ และจะหยุดการทำงานทั้งหมดทันทีหากเกิดการชน ในส่วนของวงจรอิเล็กทรอนิกส์ จะอยู่ภายใต้กันชนและโครงสร้างมอเตอร์ที่เสริมความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ส่วนแบตเตอรี่แรงดันสูงจะติดตั้งอยู่ภายในกล่องนิรภัยใต้ท้องรถ ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันชิ้นส่วนแบตเตอรี่โดยเฉพาะ ดังนั้น วางใจได้เลยว่า คนเมืองเช่นคุณจะเพลิดเพลิน และมีสุนทรียภาพในการขับขี่ MINI Cooper SE อย่างไร้กังวล
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์