ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกหนังสือเวียนเรื่องนโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยการให้บริการทางการเงิน และการชำระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Guiding Principles for Mobile Banking Security) ว่า ขณะนี้ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อการให้บริการ และผู้ใช้บริการชำระเงินผ่านช่องทางอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้
ดังนั้น เพื่อยกระดับความมั่นคงปลอดภัยในการให้บริการชำระเงินผ่านช่องทางอุปกรณ์เคลื่อนที่ให้มีการป้องกันและควบคุมความเสี่ยงจากภัยคุกคามไซเบอร์ได้รัดกุม เพียงพอ ตามมาตรฐานสากล จึงได้ออกแนวนโยบายเป็นมาตรการควบคุมรักษาความมั่นคงปลอดภัยเชิงเทคนิค ประกอบด้วยมาตรการ 2 ระดับ คือ
- มาตรการขั้นต่ำที่จำเป็นต้องดำเนินการเพื่อความรัดกุมด้านความมั่นคงปลอดภัยในการให้บริการ
- มาตรการเพิ่มเติมที่อาจพิจารณาดำเนินการเพื่อให้เกิดความรัดกุมปลอดภัยยิ่งขึ้น
มาตรการขั้นต่ำ
- ไม่อนุญาตให้ใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ที่เปิดสิทธิให้เข้าถึงระบบปฏิบัติการ (Rooted/Jailbreak) เข้าใช้งานแอปพลิเคชัน เพื่อลดความเสี่ยงผู้ไม่ประสงค์ดี สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญของผู้ใช้บริการ และละเมิดหรือหลีกเลี่ยงมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่ผู้ให้บริการกำหนดไว้
- ไม่อนุญาตให้อุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ใช้ระบบปฏิบัติการล้าสมัย (Obsolete Operating System) มีช่องโหว่ร้ายแรงที่ประกาศจากหน่วยงานด้านความมั่นคงปลอดภัยที่เป็นสากล และกระทบการใช้งานของผู้ใช้บริการในวงกว้าง
ทั้งนี้ ในกรณีที่ Obsolete OS มีช่องโหว่ที่ไม่กระทบผู้ใช้บริการในวงกว้าง ควรมีมาตรการรองรับเพื่อลดความเสี่ยงของผู้ให้บริการ และผู้ใช้บริการตามความเหมาะสม เช่น การแจ้งเตือนผู้ใช้บริการ การจำกัดวงเงินธุรกรรม และการเพิ่มมาตรการยืนยันตัวตน
- ขอสิทธิเข้าถึงทรัพยากรหรือบริการโดยแอปพลิเคชัน (Application Permission) บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ของผู้ใช้บริการเท่าที่จำเป็น และมีกระบวนการทบทวนการขอสิทธิดังกล่าวอย่างเป็นประจำ เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว (Privacy) ของผู้ใช้บริการ
- ป้องกัน Source Code ส่วนสำคัญไม่ให้รั่วไหลจากแอปพลิเคชัน เพื่อลดความเสี่ยงจากผู้ไม่ประสงค์ดี
- ป้องกันการฝังข้อมูลสำคัญ หรือ Code ที่ไม่พึงประสงค์ (Malicious Code) บนแอปพลิเคชัน
- เข้ารหัสไฟล์ข้อมูล (Files Encryption) ที่จัดเก็บข้อมูลสำคัญบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ของผู้ใช้บริการ เพื่อป้องกันข้อมูลสำคัญของผู้ใช้บริการรั่วไหล
- ไม่อนุญาตให้ผู้ใช้บริการใช้แอปพลิเคชันเวอร์ชันต่ำกว่าที่ผู้ให้บริการกำหนด
- ป้องกันการโจมตีในลักษณะ Distributed Denial-of-Service (DDoS Attack) ในระดับเครือข่าย (Network Layer)
- ป้องกันภัยจากการถูกดักจับหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลระหว่างการรับส่ง (Manin the Middle Attack) โดยยืนยันตัวตนด้วยเทคนิค Certificate Pinning หรือวิธีอื่นที่เทียบเท่า และการใช้ช่องทางสื่อสารที่ปลอดภัย (Secure Protocol) ในการรับส่งข้อมูล
- ป้องกันการสวมรอยการเข้าใช้งานของผู้ใช้บริการ (Session Hijacking)
- ป้องกันการเข้าถึงเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Server) โดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อลดความเสี่ยงจากข้อมูลรั่วไหลและระบบถูกโจมตี
- ตรวจสอบและรับมือแอปพลิเคชันปลอมบนแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นที่ยอมรับและน่าเชื่อถือ (Official e-Marketplace) เช่น Google Play Store, App Store เพื่อลดความเสี่ยงจากการที่ผู้ใช้บริการดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชันปลอม
มาตรการเพิ่มเติม
- ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแอปพลิเคชัน เมื่อผู้ใช้บริการเข้าใช้งานในทันที (Anti-Tampering) เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลผู้ใช้บริการรั่วไหลหรือเกิดความเสียหาย จากแอปพลิเคชันที่มีการดัดแปลงแก้ไข โดยฝัง Malicious Code ไว้
- กำหนดให้ตั้งค่า PIN หรือรหัสผ่านที่ซับซ้อน (PIN/Password Complexity) ในการเข้าใช้งานแอปพลิเคชันเพื่อให้ยากต่อการคาดเดา
- แสดงผลข้อมูลผู้ใช้บริการบนแอปพลิเคชันอย่างรัดกุม เช่น การปิดบังข้อมูลสำคัญของผู้ใช้บริการ (Sensitive Data Masking)
- ป้องกันภัยคุกคามในระดับแอปพลิเคชัน (Application Layer) เช่น การเข้ารหัสข้อมูลสำคัญระหว่างรับ/ส่ง การป้องกัน DDoS Attack เพื่อยกระดับการป้องกันข้อมูลรั่วไหล หรือป้องกันระบบถูกโจมตีจนไม่สามารถให้บริการได้
- ตรวจสอบและรับมือแอปพลิเคชันปลอมบนเว็บไซต์อื่น นอกเหนือจากแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นที่ยอมรับและน่าเชื่อถือ (Official e-Marketplace) เช่น บน Dark Web เป็นต้น
ทั้งนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคมนี้ เป็นต้นไป
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
เรียบเรียง: จารุวรรณ เอี่ยมยิ่งพานิช
ติดตามข่าวสารการลงทุนเพิ่มเติมได้ที่: www.efinancethai.com