วันนี้ (13 สิงหาคม) ที่รัฐสภา เนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ซึ่งสั่งไม่ฟ้องคดี บอส-วรยุทธ อยู่วิทยา ได้เดินทางเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กฎหมายฯ กล่าวว่า สังคมกดดันสถาบันของตน เพื่อความสบายใจของทุกท่านจึงขอลาออก และเพื่อรักษาภาพลักษณ์องค์กรของตน ซึ่งรับราชการเป็นอัยการมา 40 ปีแล้ว
ส่วนประเด็นที่สั่งไม่ฟ้องวรยุทธนั้นตนได้พิจารณาทั้งสำนวน โดยพิจารณาตั้งแต่แรกว่าเดิมเขาสั่งว่าอย่างไร ซึ่งการสั่งครั้งแรกนั้นอัยการสั่งด้วยความเห็นของ พ.ต.ท. ธนสิทธิ์ แตงจั่น ซึ่งมีความเห็นอยู่ในบันทึกการตรวจความเร็วคือ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แต่หลังจากมีการร้องขอความเป็นธรรม เมื่อรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดแล้ว ต่อมาผู้ให้ความเห็นคนเดิมให้การใหม่ว่าไม่ใช่ แต่วิธีใหม่นั้นคำนวณได้ 79 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งไม่เกินกฎหมาย และพยานอื่นๆ ทุกคนที่มีอยู่ในสำนวน รวมถึงพยานที่ได้จากการสอบสวน 2 ปาก คือ พล.อ.ท. จักรกฤช ถนอมกุลบุตร และ จารุชาติ มาดทอง ยืนยันที่ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
“จารุชาติเป็นพยานมาตั้งแต่ต้นก็น่าเชื่อถือได้ ส่วน พล.อ.ท. จักรกฤช ก็เป็นนายทหารระดับสูงครับ ในส่วนตัวผมก็ว่าเชื่อถือได้ แต่ต้องพิจารณาประกอบอันอื่นด้วย ไม่ใช่พิจารณาความเห็นหรือคำให้การของท่านอย่างเดียว” เนตรกล่าว
เนตรกล่าวด้วยว่า เนื่องจากจุดชนของรถอยู่ในช่องจราจรของผู้ต้องหาที่ 1 (วรยุทธ อยู่วิทยา) ความเร็วรถจึงเป็นส่วนสำคัญ และพยานยืนยันว่า ดาบตำรวจเปลี่ยนช่องจราจรกะทันหัน เพราะฉะนั้นเมื่อความเร็วของรถผู้ต้องหาที่ 1 ไม่เกินกฎหมายกำหนด ก็เป็นเหตุสุดวิสัยและถือว่าหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนไม่พอฟ้องวรยุทธ ตนจึงสั่งไม่ฟ้อง และเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และต่อมาท่านก็ให้ความเห็นชอบ
ส่วนเรื่องการร้องขอความเป็นธรรม ซึ่งวรยุทธร้องไปที่กรรมาธิการฯ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยืนยันว่า เรื่องการร้องเรียนนี้มาตามระบบ ตนไม่ได้เป็นผู้เจาะจงหยิบคดีนี้มาพิจารณา ทั้งนี้ การพิจารณาของตนได้พิจารณาตามข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานในขณะนั้น ซึ่งตามดุลพินิจของตนเห็นว่าเป็นเหตุสุดวิสัย แต่ถ้าต่อมาภายหลังมีหลักฐานใหม่ที่สามารถลงโทษผู้ต้องหาที่ 1 ได้ ก็สามารถพิจารณากลับคำสั่งไปฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ได้อีก ยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา เพราะบางคดีก็มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องไปแล้ว แต่พบพยานหลักฐานใหม่ก็ส่งมาที่อัยการให้พิจารณาใหม่ได้
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
