นอกจากภาพเก่าวัยเด็กแสนน่ารักที่เรียกความทรงจำ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ กลับขึ้นมาได้อีกครั้งในช่วงเทศกาลวันเด็ก
เราค้นพบว่าเพลง ความเยาว์ ของวง The Darkest Romance จากค่าย Gene Lab คืออีกผลงานที่ทำหน้าที่เหมือน ‘ไทม์แมชชีน’ ที่ไม่ได้แค่พาคืนวันที่แสนสดใสให้กลับมา แต่ยังพาเรากลับไปจับเข่านั่งคุยกับตัวเองเมื่อครั้งไร้เดียงสา
ก่อนที่จะอ่านบทความต่อไปนี้ เราอยากขอแบ่งเวลาสัก 10 นาที กับเพลงนี้ แล้วดำดิ่งลงไปช่วงชีวิตที่เคยเต็มไปด้วย ‘ความหวัง’ ที่ผลักดันให้เราทำทุกสิ่งอย่างเต็มที่
แล้วนำพลังของเด็กน้อยแห่ง ‘ความเยาว์’ คนนั้นกลับมาผลักดันและแบ่งปันความฝันอันแสนสนุกร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง
ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความหวัง ความฝัน และพลังงาน
https://www.youtube.com/watch?v=Sf5mV6KYSss
‘ฉันเขียนเพลงนี้เมื่อฉันอายุ 28 ความเก่งที่ฉันพอมีคือจําเรื่องแปลก แต่แปลกแค่ไหนก็ตามไม่ทัน เรื่องแปลกใหม่ๆ ที่ฉันเจอทุกนาที’
ฉันฟังเพลงนี้เมื่อตอนอายุ 30 ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ‘เรื่องแปลก’ ที่ว่าหมายถึงเรื่องไหน แต่ถ้าฉันมักจะจำเหตุการณ์ที่เจ็บปวดได้ดี ก็น่าจะพอเรียกตัวเองได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจำเรื่องแปลกได้อยู่เหมือนกัน
รู้สึกว่ายิ่งโตขึ้น ยิ่งใช้เวลามากขึ้นเวลาตอบคำถามว่า ตอนเด็กเป็นคนแบบไหน มีความฝันอยากเป็นอะไร หรือทำอะไรแล้วมีความสุขมากที่สุด ผิดกับเวลาถามตัวเองว่าชีวิตตอนนี้เป็นอย่างไร ภายในหัวจะสามารถเรียงลำดับเหตุการณ์ การผิดพลาด ความเจ็บปวดในทุกๆ เรื่องได้เป็นฉากๆ แบบอัตโนมัติ
แล้วก็เหมือนกับในเพลงบอกเลยว่าไม่มีใครเคยตามสิ่งเหล่านั้นได้ทัน บางครั้งยังไม่ทันชัดเจนกับเหตุการณ์ครั้งก่อนด้วยซ้ำ ชีวิตก็นำพา ‘เรื่องแปลก’ มาพิสูจน์อะไรบางอย่างอยู่ในทุกๆ นาทีจริงๆ
‘มีใครสักคนบอกฉันเมื่อตอน 10 ขวบ ว่าการเติบโตจะทําให้ฉันเจ็บปวด ฉันจําวันนั้นได้เป็นอย่างดี แต่ใครคนนั้นไปไหนไม่รู้ตอนนี้’
มีคนเคยบอกกับฉันแบบนี้ แล้วตอนนี้เขาก็หายตัวไปแล้วเหมือนกัน คนพวกนี้นี่ยังไงกัน ทำไมต้องคอยบอกความจริงที่ไม่อยากฟังให้คนอื่นรับรู้อยู่เรื่อย
จำได้ว่าตอนเป็นเด็กไม่ทันรู้เรื่องอะไรหรอก เห็นพ่อแม่ ญาติ พี่ๆ หรือใครก็ตามที่โตเป็นผู้ใหญ่ ทั้งในหนังสือ หนัง ละคร เพลง ก็พอจะรู้ว่าโตไปต้องเศร้า ต้องร้องไห้ แต่ไม่เห็นมีใครเคยบอกมาก่อนเลยว่า ‘ความเจ็บปวด’ จะเป็นเรื่องสาหัสและรับมือได้ยากขนาดนี้
ใครคนนั้นที่ตอนนี้ไม่รู้อยู่ไหน ช่วยกลับมาอีกครั้งได้ไหม วันนี้ฉันรู้แล้วว่าโตมาแล้วต้องเจ็บปวด แต่ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องรับมือกับความเจ็บปวดนี้อย่างไร
‘หนังสือเรียนอาจสอนให้คิด แต่ไม่มีใครสอนให้ใช้ชีวิต’
บางทีหนังสือเรียนก็ไม่ได้สอนให้คิด แล้วก็อาจจะไม่ใช่แค่คนเท่านั้นหรอก แต่ยังมีสิ่งต่างๆ ประสบการณ์มากมายที่คอยสอนให้ใช้ชีวิต เป็นตัวฉันเองต่างหากที่ไม่เคยฟังและเชื่อสิ่งเหล่านั้นเลย
‘เคยนึกว่าฉันเข้าใจชีวิตทุกอย่าง เวลาผ่านไปกลับกลายไม่รู้สักอย่าง’
ความมั่นใจในช่วงเวลาที่คิดว่าเราได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ เคยทำให้ฉันหลงตัวเองและนึกไปว่าทุกอย่างในโลกต้องสยบอยู่แทบเท้า ก่อนที่วันหนึ่งจะรู้ความจริงว่าฉันเป็นเพียงคนเขลา เบาเดียงสา ที่ถูกโลกพลิกตลบ เหยียบจมพื้นเท่านั้นเอง
‘มีเพียงความคิดวัยเด็กของฉัน ที่เชื่อว่าฉันจะไปได้ดีสักทาง’
นอกจากความสนุกและยังไม่รู้ความหมายของความเจ็บปวด การเป็นเด็กคงจะดีตรงที่พร้อมเชื่อมั่นเสมอว่าชีวิตยังมีความหวัง เชื่อว่าตัวเองมีความสามารถจะเปลี่ยนโลกให้หมุนไปตามความฝันที่กลายเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเมื่อโตขึ้นมา
แต่ก็ยังคิดอยู่เสมอนะว่าถ้ากลับไปเชื่อมั่นแบบนั้นได้อีกครั้ง ฉันจะต้องทำอะไรได้มากกว่านี้
‘แต่ซ้ายหรือขวาทางไหนฉันก็ไม่ชัวร์ กลับหลังไม่ได้และตรงไปฉันก็กลัว ทุกคําแนะนําคือป้ายนําทาง ที่ชี้ไปกี่ทิศทางก็ล้วนมืดมัว’
โลกเต็มไปด้วยป้ายบอกทางผุพัง บางครั้งก็มีใครไม่รู้นึกสนุก แกล้งสลับลูกศรชี้ทางพาเราอ้อมเข้าไปในป่า ฝ่าถนนดินลูกรังสีแดงที่มีแต่หลุมและบ่อ ฉันคิดว่าฉันเข้มแข็งพอที่จะต่อสู้กับความยากลำบาก ถ้ารู้ว่ามีเส้นทางที่ถูกต้องรออยู่ข้างหน้า
พอจะมีวิธีไหนให้ชีวิตสามารถ ‘ปักหมุด’ ปลายทางเหมือนใน Google Maps หรือใครแชร์โลเคชันที่ถูกต้องมาให้เราได้บ้างหรือเปล่า
‘วินาทีผ่านไปทุกวัน ความเยาว์ในใจฉันยังคงมีหวัง แต่ไม่รู้เลยว่าฉันต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรถึงจะใช้ชีวิตได้ดีและดูเหมาะสมเสียที เพราะฉันกําลังหลงทางในเขาวงกตอันใหญ่ที่ชื่อว่าโลกใบนี้’
ก่อนที่จะรู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไร มีใครพอจะบอกได้ไหมว่าชีวิตที่ดีและดูเหมาะสมจริงๆ แล้วมีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่
เวลา 30 ปีที่ผ่านมา ได้พาตัวเดินฉันออกจากจุดสตาร์ท เข้าใกล้ทางออกของเขาวงกตอันใหญ่ที่ชื่อโลกใบนี้ได้มากขึ้นมาบ้างไหม หรือยิ่งเดินยิ่งหลงทางห่างไกลออกไปทุกที
ถ้า ‘ความเยาว์วัย’ ของฉันยังพอเหลืออยู่ หวังว่าจะช่วยชี้ทาง ลากจูงให้ฉันกลับเข้าไปใกล้เส้นทางที่ถูกต้องขึ้นมาบ้างนะ
‘เด็ก 5 ขวบคนหนึ่งมีคําถามว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่อสิ่งใด วันเวลาผ่านไป เด็กคนนั้นยังไม่ได้คําตอบ’
สุดท้ายอาจค้นพบว่าแท้จริงแล้วตัวเราช่างไร้ความหมาย ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใดเลย นั่นก็อาจจะเป็นคำตอบที่รอทุกคนอยู่ แต่ฉันไม่อยากให้คำตอบที่ออกมาหาเป็นแบบนั้นเลยจริงๆ
‘ฉันเขียนเพลงนี้เมื่อฉันอายุ 28 ทุกวันที่ผ่านฉันไปมีแต่เรื่องแปลก แต่แปลกแค่ไหนก็ไม่เป็นไร เด็กน้อยคนนั้นจะได้ทําความเข้าใจชีวิตสักที’
ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้ากลับมาฟังเพลงอีกครั้งเมื่อฉันอายุ 38, 48, 58 หรือตอนนั้นก็ตามตัวเลขและประสบการณ์ที่มากขึ้น จะทำให้เข้าใจชีวิตและรับมือกับเรื่องแปลกที่ต้องเจอมากขึ้นในทุกๆ วันได้ดีกว่านี้ได้บ้างหรือเปล่า
แต่เชื่อว่าอย่างน้อยการได้กลับมานั่งคุยกับเด็กน้อยที่เคยมีชีวิตเต็มไปด้วยพลังงานแห่งความฝัน จะทำให้ภาพ ‘ความหวัง’ ที่เลือนรางชัดเจนขึ้นมาได้อีกครั้ง
ฉันหวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า